กาแฟถูกค้นพบสรรพคุณของมันโดยคนเลี้ยงแพะชาวเอธิโอเปีย และได้ถูกนำมาใช้ในฐานะของสมุนไพรเพื่อให้รู้สึกคึกคักแจ่มใสไม่ทำให้ง่วงนอน ภายหลังจึงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในสังคม และเกิดคำถามว่า การดื่มกาแฟมีผลต่อสุขภาพอย่างไร ในวงการการแพทย์และสุขภาพ
ในปัจจุบันมีการเพ่งเล็งและตรวจสอบเครื่องดื่มกาแฟว่ามีความน่าสงสัยเกี่ยวกับมันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรมากกว่าพืชอาหารอย่างอื่นๆ อาจเป็นเพราะว่ากาแฟไม่ให้คุณประโยชน์ทางโภชนาการใดๆเพียงแค่ทำให้รู้สึกดี หรือเพราะว่ามันมีคาเฟอีนทำให้องค์เกี่ยวกับสุขภาพและการแพทย์มองกาแฟเป็นผู้ต้องสงสัย
มีการศึกษาอย่างเข้มข้นมากว่า 25 ปี แต่วิทยาศาสตร์การแพทย์ยังไม่ได้พิสูจน์ถึงความเชื่อมโยงใด ๆ ที่ชัดเจนระหว่างการบริโภคคาเฟอีนหรือกาแฟในปริมาณปานกลางกับโรคหรือข้อบกพร่องอย่างอื่นที่เกิด และการศึกษาทุกครั้งจะมีการแนะนำความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มกาแฟในปนิมาณปานกลางและโรคบางอย่าง หรือระหว่างการดื่มกาแฟในปริมาณปานกลางในระหว่างตั้งครรภ์ การดื่มกาแฟในปริมาณปานกลางหมายถึงวันละ 3-4 แก้วในปริมาณการชงมาตรฐาน

Designed by Freepik
ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละแก้ว
การดื่มกาแฟหนึ่งแก้วด้วยการชงแบบมาตรฐานอเมริกันจะมีปริมาณคาเฟอีน 100-150 มิลลิกรัมต่อแก้ว การดื่มเอสเปรสโซ่ 1 ช๊อตจะมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 80-120 มิลลิกรัม ในเครื่องดื่มและอาหารอื่นๆก็มีคาเฟอีนเช่นกัน เช่น ชาหนึ่งแก้วจะมีคาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม เครื่องดื่มประเภคโคล่าขนาดขวด 12 ออนซ์จะมีคาเฟอีน 40-60 มิลลิกรัม
การดื่มกาแฟมีต่อสุขภาพอย่างไร ในระยะสั้น
หลังจากมีการถกเถียงและการวิจัยหลายชิ้นมีข้อสรุปและบันทึกว่า การดื่มกาแฟมีผลทางด้านบวกต่อสุขภาพร่างกายในระยะสั้นดังนี้ เมื่อดื่มคาเฟอีน (กาแฟ) แล้วจะทำให้มีความคิดไหลเวียนที่ดี และแจ่มชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทำให้อาการง่วงนอนและเหนื่อยล้าบรรเทาเบาบางลง ทำให้ความสามารถทางสติปัญญายั่งยืนมากขึ้น มีการกระตุ้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น พนักงงานพิมพ์ดีด สามารถพิมพ์ได้เร็วขึ้นและมีคำผิดน้อยลง บทสรุปที่ดีนี้ปรากฏในเภสัชวิทยาของการบำบัดโดย Dr. J. Murdoch Ritchie ซึ่งเป็นผลที่ได้รับดังกล่าวเนื่องจากคาเฟอีนในปริมาณเทียบเท่ากับการดื่มกาแฟหนึ่งถึงสองถ้วย
ผลกระทบในด้านลบตามคำอธิบายทางการแพทย์ ผู้ที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่มาก อาจทำให้มีความรู้สึกกระสับกระส่ายและหงุดหงิด อาการนอนไม่หลับ กล้ามเนื้อกระตุกและท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการที่ได้รับปริมาณคาเฟอีนในปริมาณที่มากเทียบเท่ากับกาแฟปริมาณ 10 ถ้วย ซึ่งทำให้ก่อเกิดพิษมีอาการ อาเจียน หนาวสั่น ถ้าได้รับคาเฟอีนในจำนวนมหาศาลอาจทำให้ถึงตายได้ นั่นหมายถึงปริมาณ 10 กรัมซึ่งเทียบเท่ากาแฟ 100 ถ้วยในการดื่ม 1 ครั้ง
ปริมาณการดื่มที่เหมาะสม
จากการศึกษามีผลว่าการดื่มกาแฟในปริมาณที่มากหรือการที่ได้รับคาเฟอีนที่มากทำให้มีผลเสียต่อร่างกาย ปริมาณเท่าไรจึงพอเหมาะและทำให้ส่ผลกระทบในแง่บวกต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า สมองความคิดแล่นปราดเปรียว และแจ่มใส
ปริมาณเท่าไรเพียวพอ ปริมาณเท่าไรมากเกินไป จากผลการศึกษามีน้อยครั้งมากที่การได้รับคาเฟอีนปริมาณน้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวันจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพร่างกาย ซึ่งก็หมายความว่าเราสามารถดื่มกาแฟได้ปริมาณ 3 ถ้วยต่อวันโดยไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในแง่ลบ มีแต่ผลกระทบในแง่บวก ซึ่งหมายถึงว่าเราไม่ได้รับคาเฟอีนจากอาหารประเภทอื่นๆอีก อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของร่างกายแต่ละบุคคลก็มีความสามารถในการได้รับคาเฟอีนต่างๆกันไป
ผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพจากการดื่มกาแฟ
การดื่มกาแฟมีผลต่อสุขภาพอย่างไร ในระยะยาว นักวิจัยได้พยายามเชื่อมโยงผลกระทบระยะยาวต่อโรคต่างๆที่เกิดจากการดื่มกาแฟ เช่น โรคหัวใจ มะเร็งตับอ่อน หรือต่อการตั้งครรภ์ของสตรี ใน 30 ปีผ่านมานี้ไม่มีหลักฐานอันเป็นที่ชัดเจนที่ยืนยันได้ถึงผลกระทบในระยะยาว และรายงานทั้งหลายนั้นก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่หลักฐานบางอย่างกลับชี้ให้เห็นว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาวสำหรับผู้ดื่มกาแฟ
ตัวอย่างหนึ่งที่นักวิจัยทางการแพทย์พยายามที่จะหาความเชื่อมโยงของการได้รับสารคาเฟอีนแล้วส่งผลต่อการตั้งครรภ์ของสตรี เป็นการวิจัยในช่วงปี 1970 เป็นการทดลองแสดงให้เห็นว่าการรับคาเฟอีนประมาณเทียบเท่ากาแฟ 12 -24 ถ้วย ทำให้เกิดผลกระทบทางลบต่อการตั้งครรภ์ ซึ่งนั่นเป็นการทดลองโดยหนู ทำให้การทดลองนี้มีนักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสงสัยต่อเงื่อนไขของการทดลองอย่างมาก
อย่างไรก็ตามสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาออกประกาศเตือนอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับผลกระทบที่เป็นไปได้ของคาเฟอีนต่อทารกในครรภ์ ต่อจากนั้นมีการวิเคราะห์โดยนักวิจัยของ Harvard เกี่ยวกับการดื่มกาแฟในหมู่คน 12,000 คน ในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ผู้หญิง แต่ไม่สามารถหาข้อเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการดื่มกาแฟและการเกิดข้อบกพร่องในการตั้งครรภ์ได้
การลดปริมาณคาเฟอีนจากการดื่มกาแฟ
เมื่อเรารู้สึกว่าคาเฟอีนทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ยังชมชอบดื่มกาแฟอยู่ ถ้าคุณไม่เลือกดื่มกาแฟไร้คาเฟอีน วิธีการเลือกลดคาเฟอีนลงก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ด้วยวิธีการลดการดื่มกาแฟลง ด้วยการดื่มกาแฟในแต่ละครั้งก็ให้ใช้เวลารื่นนรมย์ในรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟให้ยาวนานซึ่งทำให้เราไม่ดื่มบ่อยครั้งจนเกินไป หรือว่าแทนที่เราจะใช้เครื่องชงกาแฟแบบอัตโนมัติเราก็เปลี่ยนเป็นต้มกาแฟเองด้วยวิธีที่ยุ่งยากขึ้น อาจจะเป็นวิธีแบบเฟร้นซ์เพรสก็ได้ มันก็จะทำให้เรามุ่งเน้นสมาธิมาที่การชงกาแฟทำให้เราดื่มน้อยลงได้
การเลือกซื้อกาแฟที่มีคาเฟอีนต่ำก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยเลือกกาแฟที่มีส่วนผสมพวกโรบัสต้าให้น้อย โรบัสต้ามีคาเฟอีนมากกว่าอาราบีก้าประมาณเกือบ 2 เท่า แน่นอนว่ามีราคาที่แพงกว่า เรายังสามารถเลือกผสมกาแฟเองให้มีคาเฟอีนที่ต่ำกว่ากาแฟในท้องตลาดที่เน้นลดต้นทุนด้วยการนำกาแฟโรบัสต้ามาผสมด้วยปริมาณที่มาก
กรดในกาแฟก็ส่งผลต่อสุขภาพได้เช่นกัน
ไม่เพียงแต่คาเฟอีนเท่านั้นที่ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นตัวร้ายที่มาจากการดื่มกาแฟ กรดก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ตนมักเอ่ยถึงในทางลบ บางคนไม่ชอบรสเปรี้ยวในกาแฟ และบอกว่าทำให้เกิดปัญหาอึดอัดภายในท้อง และบางคนว่าทำให้เกิดการกระตุกด้วย ถ้าเราอยากทราบว่าเรื่องเช่นนี้เกิดปัญหากับเราหรือไม่ให้ทดลองดื่มกาแฟที่มีรสเปรี๊ยวแล้วสังเกตุดู แต่ถ้าใครอยากลดปัญหากรดนี้เรามีวิธีแนะนำ
ซื้อกาแฟที่คั่วแบบเข้ม กาแฟที่คั่วปานกลางถึงเข้ม สามารถทำให้รู้สึกลดความเป็นกรดได้
ซื้อกาแฟที่ปลูกในระดับความสูงไม่มากนำมาคั่วในระดับปานกลาง แบบ (full-city, Viennese, light espresso) กาแฟที่เป็นกรดต่ำตามธรรมชาติ ได้แก่กาแฟที่มาจาก บราซิล, อินเดีย และแปซิฟิก (สุมาตรา, ติมอร์, ฮาวาย) แล้วก็กาแฟแถบแคริบเบียน
สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช
ความวิตกกังวลเป็นอย่างมากของผู้บริโภคในสมัยนี้เกี่ยวกับ สารเคมีทางเกษตรและสารกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างในพืช ซึ่งเป็นความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้บริโภคและความกังวลต่อสภาพแวดล้อม ที่อาจเป็นอันตรายก่อให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมและคุกคามสุขภาพของคนจนในชนบทที่ปลูกกาแฟ
ปัญหาสารเคมีตกค้างถึงผู้บริโภคนับว่ามีโอกาสน้อยมาก เพราะด้วยว่ากาแฟไม่ได้ทานผลดิบ และตัวเนื้อกาแฟไม่ได้ใช้เราใช้เพียงแต่เมล็ดกาแฟที่อยู่ภายใน ซึ่งจะผ่านกระบวนการหลายอย่างทั้งหมัก ทั้งล้างขัดสี และก็ตากแห้ง ก่อนจะนำมาคั่วที่อุณหภูมิ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ดังนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสารเคมีตกค้างไปส่งผลต่อผู้บริโภค อยากไรก็ตามถ้าเรามีความกังวลมากเราสามารถเลือกซื้อกาแฟที่ผลิตด้วยกระบวนการปลอดสารได้
การแฟที่ใช้วิธีการปลูกแบบดั้งเดิมไร้สารเคมี เช่น กาแฟที่ปลูกในเยเมนและเอธิโอเปีย เกือบทั้งหมด หรือ กาแฟสุมาตราแมนเฮลลิ่ง
หรือจะเลือกซื้อกาแฟออร์แกนิคที่ผ่านการรับรอง ว่าเป็นกาแฟที่มีสภาพการเจริญเติบโตและการแปรรูปได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยหน่วยงานอิสระ และพบว่าปราศจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อรา ปุ๋ยเคมี และสารเคมีอันตรายอื่น ๆ หน่วยงานตรวจสอบจะเข้าครวจเยี่ยมชมฟาร์ม และตรวจสอบว่าไม่มีสารเคมีที่ใช้ในฟาร์มเป็นเวลาหลายปี จากนั้นทำตามทุกขั้นตอนของกระบวนการเตรียมการขนส่งการเก็บรักษาและการคั่ว การตรวจสอบอย่างระมัดระวังนั้นแน่นอนว่ามีราคาแพง
ผลกระทบต่อสุขภาพในแง่บวกของการดื่มกาแฟ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากาแฟมักถูกวิจัยถึงโทษของการดื่มกาแฟอาจด้วยสาเหตุเพราะว่ามันประกอบไปด้วยสารคาเฟอีน อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยเร็วๆนี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการดื่มกาแฟโดยการวิจัยได้อาศัยข้อมูลทางสถิติที่ติดตามผู้ดื่มกาแฟ โดยจับคู่ร่วมกับการเป็นโรคต่างๆเข้ากับลักษณะนิสัยของการดื่มกาแฟ และควบคุมตัวแปรอื่นๆที่อาจมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์นั้น
ได้ผลการทดลองดังนี้ การดื่มกาแฟในระดับปานกลาง ประมาณ 2-4 แก้วต่อวัน อาจลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ลงได้ประมาณ 25% โรคนิ่ว 45% โรคตับแข็ง 80% และโรคพาร์กินสันลดลง 50% ผลประโยชน์อื่น ๆ รวมถึงการลดลง 25% ในการเกิดขึ้นของผู้ป่วยโรคหอบหืด และยังมีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่ากาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ต่อต้านโรคมะเร็งเหมือนชาเขียวอีกด้วย
Designed by Freepik