ตอนที่ ๑ การสอบเข้าโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง
การตัดสินใจของ………แม่หญิงศรีรัตนโกสินทร์
ขอเกริ่นก่อนเลยนะคะว่าข้าพเจ้าเรียนจบด้านธรณีวิทยา แต่ด้วยความจับพลัดจับผลูจากอาชีพนักธรณี พอแต่งงานเลยกลายมาเป็นแม่บ้านและมีอาชีพทำสบู่ธรรมชาติแบบโฮมเมดขาย ซึ่งเป็นอาชีพที่เราชอบและเป็นอาชีพสุจริตนั้นก็เป็นการตัดสินใจที่ผ่านมา จนมาถึงการตัดสินใจครั้งนี้ก็เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ ที่จะต้องเตรียมทั้งร่างกายและจิตใจให้พร้อมสู่การเป็นนักเรียนแผนกอาหารและขนมที่โรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง เมื่อปี ๒๕๖๑ ข้าพเจ้าได้เจอเพจของการเรียนทำอาหารและขนมและเครื่องหอมของไทยจากโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง
ตอนนั้นตาเป็นประกายมาก เพราะมีความสนใจและอยากเรียนมานานแล้ว จากนั้นก็หาข้อมูลและรายละเอียด การสอบเข้าโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง คุณสมบัติของผู้เรียน และข้อบังคับต่างๆ เพราะต้องเข้าเรียนที่พระราชฐานชั้นใน เขตในรั้วในวัง ซึ่งเราก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่รู้คุณสมบัติจะผ่านมั้ย กิริยามารยาทก็ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ และรู้ว่าช่วงสมัครเรียนคือช่วงเดือนมกราคม ถึง มีนาคม ข้าพเจ้าก็รอวันและเวลาที่มาสมัครเรียนในปีการศึกษา ๒๕๖๒ ปีนี้ทางโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิงได้เปิดในช่วง ๒๓ มกราคม ถึง ๒๑ มีนาคม สมัครเรียนในเวลาราชการ หลักสูตรที่เปิดสอนจะมี ๓ หลักสูตร ได้แก่ วิชาอาหารและขนม วิชาช่างดอกไม้สด และวิชาช่างปักสะดึง เมื่อทราบวันตามที่ประกาศรับสมัครแล้วข้าพเจ้าก็เตรียมเอกสารและพร้อมสำหรับสมัครเรียน ไปสมัครวันที่ ๖ มีนาคม
หลักฐาน การสอบเข้าโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง ที่ต้องเตรียมไป
๑. รูปถ่าย ๑ นิ้ว จำนวน ๒ รูป (รูปถ่ายไม่เกิน ๓ เดือน )
๒.สำเนาวุฒิการศึกษาสูงสุด
๓.สำเนาบัตรประชาชน
๔.สำเนาใบเปลื่ยนชื่อ- สกุล
๕.ใบรับรองแพทย์ (ตรวจสุขภาพทั่วไปที่โรงพยาบาลเท่านั้น และไม่เกิน ๓ เดือน
คุณสมบัติของผู้สมัคร รับเฉพาะนักศึกษาหญิง อายุ ๑๕ ปีขึ้นไป
(เฉพาะวิชาอาหารและขนม อายุต้องไม่เกิน ๔๕ ปี )
**** กรุณาแต่งกายสุภาพ เสื้อมีแขน กระโปรงยาวคลุมเข่า รองเท้าหุ้มส้น
สถานที่รับสมัคร วิทยาลัยในวังหญิง อาคาร ๒ ในพระบรมมหาราชวัง (เข้าทางประตูช่องกุด ท่าเตียน)
วันไปสมัครเรียนเอารถไปจอดที่ราชนาวีสโมสร แล้วเดินตามกำแพงวังเข้าไปตรงประตูช่องกุด เข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าอาคาร ๒ อยู่ไหน ??? เลยถามกับเจ้าหน้าที่อยู่ตรงหน้าประตู ข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อยๆจนเจออาคาร ๒ (เบเกอรี่) ซึ่งเป็นอาคารเป็นปูนชั้นเดียว หลังคาไม้ หน้าอาคารจะมีเก้าอี้ไม้กระดานขาเหล็กยาวๆ หลายอันวางเรียงด้านหน้า เดินไปจนถึงหน้าประตูกระจก จากนั้นก็ไปหยิบเอกสารมากรอก เอกสารให้กรอกรายละเอียดและต้องเลือกแผนกที่จะเข้าเรียน ซึ่งแน่นอนข้าพเจ้าตั้งใจจะไปเรียนแผนกอาหารและขนม ก็จะมีเจ้าหน้าที่นั่งคอยตรวจเอกสาร เมื่อตรวจเอกสารเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้กระดาษแผนหนึ่งเล็กๆให้เรา ๑ แผ่น รายละเอียดในนั้นก็จะมีชื่อ นามสกุล ลำดับที่… พร้อมบอกชื่อแผนก และวันที่จะมาสัมภาษณ์ไว้ด้วยในกระดาษแผ่นนั้น ซึ่งแผนกอาหารและขนมจะได้กระดาษสีเขียว และต้องมาสัมภาษณ์ในวันที่ ๒๙ มีนาคม นัด ๙:๐๐ น. แต่ต้องมาถึงห้องสัมภาษณ์ก่อน ๘:๐๐ น. ซึ่ง การสอบเข้าโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง มีเฉพาะการสัมภาษณ์อย่างเดียวจ้า

วันสัมภาษณ์
ข้าพเจ้าตื่นเต้นนอนก็ไม่ค่อยหลับกังวลกลัวไปสัมภาษณ์ไม่ทัน 555 ด้วยความตื่นเต้นเลยตื่นตั้งแต่ตีสี่กว่า อาบน้ำแต่งตัว แล้วไปขึ้นรถไฟฟ้าแอร์พอตลิ้ง ประมาณเกือบหกโมงเช้า ไปลงที่สถานีพญาไท แล้วต่อรถไฟฟ้า BTS ที่สถานีพญาไท ไปลง สถานีอนุเสาวรีย์ชัย ขึ้นรถเมล์ที่เกาะพญาไท สาย ๕๐๓ ลงตรงท่าพระจันทร์ (ถ้าวันไหนโชคดีกก็จะมีรถเมล์บางคันก็ไปจอดท่าช้าง ซึ่งก็คือตรงท่าเตียน หน้าประตูช่องกุดเลยค่ะ ) แต่วันนี้จอดตรงท่าพระจันทร์จ้า ก็ต้องรีบเดินไปตามรั้ววัง ถึงประตูช่องกุด ๗ : ๓๐ น. เดินเข้าไปยังสถานที่สมัครก็คืออาคาร ๒ นั่นเอง เข้าไปในห้อง เห็นเก้าอี้เรียงกันหลายแถว
เมื่อลงทะเบียนแล้วนั่งรอ ระหว่างที่นั่งรอก็จะมีเจ้าหน้าที่มาพูดแนะนำการเตรียมตัว คนไหนที่แต่งชุดไม่สุภาพมา เจ้าหน้าที่ก็บอกให้กลับไปเปลี่ยนชุดมาใหม่เพื่อความสุภาพ ระหว่างนั่งรออาจารย์ ก็เจ้าหน้าที่ก็เอาเทียนอบ น้ำอบ น้ำปรุงมาขาย (พอดีใกล้เทศกาลสงกรานต์เลยมีขาย แต่ของก็มีจำนวนจำกัด เพราะสินค้าจากอาจารย์ขายดีมาก มีคนสั่งกันไว้เยอะจองกันแบบข้ามปีเลยเชียว แต่ก็จะมีของไม่เยอะมาให้ว่าที่นักเรียนใหม่ ได้ซื้อกัน ฮ่าๆ) เป็นฝีมือของอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง และมีขนมไทยหลายอย่างมาวางขายระหว่างรอสัมภาษณ์ด้วย ข้าพเจ้าได้ทำการลงชื่อและจองเทียนอบและน้ำปรุงไว้ เพราะมีพี่สาวมาจากอังกฤษฝากซื้อน้ำปรุงและเทียนอบขนม ได้เทียนอบมาสองอันและน้ำปรุงหนึ่งขวด นี่คือการเตรียมไว้เอาเคล็ดไงค่ะ เผื่อว่าซื้อเทียนอบไว้แล้วเราจะมีบุญวาสนาได้เรียนและได้ใช้ในการทำอาหารและขนมจริงๆ จ้า สักพักระหว่างที่เลือกซื้อแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกชื่อให้นั่งตามเก้าอี้
วันนั้น เรียกสัมภาษณ์เริ่มจากลำดับที่ ๘๑ ถึงลำดับเท่าไหร่ไม่แน่ใจค่ะ แต่คนมาก็เยอะ ไม่มาสัมภาษณ์ก็เยอะเหมือนกัน ในห้องนั้นก็จะประมาณราวๆสัก ๒๐ กว่าคนได้ ข้าพเจ้าลำดับที่ ๘๓ ได้นั่งรอสัมภาษณ์เป็นคนที่ ๒ เพราะว่าคนที่ลำดับ ๘๒ ไม่มา เลยได้ขยับเลื่อนไปรอคิวที่สอง ตื่นเต้นมาก บางคนในห้องก็เห็นแอบอ่านโพย อ่านอะไรไม่รู้ จนเจ้าหน้าที่บอกไม่ต้องท่องกฏระเบียบ ข้อบังคับของทางโรงเรียนนะคะ เพราะอาจารย์ที่สัมภาษณ์ท่านไม่ถามหรอก อาจารย์จะถามทั่วไปเฉยๆ ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ ในใจข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าเรามีวาสนาที่จะได้เรียนจะได้เรียนแน่นอนค่ะ หายใจเข้าออก พยายามทำตัวผ่อนคลาย จนอาจารย์เรียกคนที่ ๑ เข้าไป ข้าพเจ้าก็ได้เลื่อนไปนั่งประจำตรงเก้าอี้หน้าเตรียมเข้าห้องสัมภาษณ์ สักพักอาจารย์ก็เรียกคนต่อไปเข้ามาได้
ข้าพเจ้าเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องจะมีอาจารย์นั่งอยู่ ๔ ท่าน แต่ละท่านน่าเกรงขามมาก พอเข้าไปแล้วข้าพเจ้าก็ยกมือไหว้สวัสดีอาจารย์ อาจารย์ก็เชิญเรานั่งลง ข้าพเจ้าก็แนะนำตัว ชื่อ – นามสกุล และลำดับที่ จากนั้นอาจารย์แต่ละคนพูดทักทายแบบกันเอง อาจารย์ที่นั่งคนที่ ๒ ทางซ้ายมือของข้าพเจ้าเอาไอแพดมาถ่ายรูปไว้บอกว่าต้องถ่ายเก็บไว้ดูเพราะรูปถ่ายมาสมัครเรียนกับตัวจริงของแต่ละคนไม่ค่อยเหมือนกันเลย ต้องขอถ่ายรูปเก็บไว้ใหม่ พอถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็มีอาจารย์ท่านอื่นๆ ถามคำถามต่อ จำได้ว่าคำถามก็ถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่? เรียนจบอะไรมา? เรียนจบมาแล้วกี่ปี? ก่อนหน้านี้เคยทำงานมาก่อนมั้ย? ตอนนี้แต่งงานหรือว่าโสดหรือว่าแต่งงานมาแล้ว แต่งมากี่ปี? สามีทำงานที่ไหน? มีลูกรึยัง? อยากมีลูกมั้ย? ตอนนี้ทำอาชีพอะไรอยู่ ?และไม่เสียดายหรือจบตั้ง ป.โท แต่ไม่ได้ทำงานสายงานที่เรียนมา? ถ้าเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ?
ทุกคำถามข้าพเจ้าก็ตอบไปตามความจริงว่า ตอนนี้เป็นแม่บ้านมีอาชีพขายสบู่ธรรมชาติ และถ้าได้เรียนที่นี่จริงๆ เมื่อเรียนจบแล้วจะนำวิชาความรู้ที่ได้เกี่ยวกับอาหารไทย ขนมไทยและเครื่องหอมไทยในวังแบบต้นตำรับไปเผยแพร่และไปเปิดร้านที่ขอนแก่น มีความพร้อมและเตรียมตัวมาตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อที่จะมาเรียนค่ะ จากนั้นอาจารย์ก็บอกว่าหมดคำถามแล้ว ขอให้โชคดี วันที่ ๔ เมษายน ติดตามเพจดูวันประกาศผลและมารายงานตัวนะ ข้าพเจ้ายกมือไหว้อาจารย์และเดินออกจากห้องมาหยิบเอากระเป๋าแล้วก็มานั่งเก้าอี้ใกล้ๆกับที่ขายขนม ข้าพเจ้าก็ไปซื้อขนมไทยและเทียนอบ น้ำปรุงที่จองไว้ แล้วก็กลับห้อง คือแบบว่าพร้อมมาก เตรียมเทียนอบไว้เลยหล่ะกัน ฮ่าๆ จำได้ว่าขนมไทยได้ซื้อมาหลายอย่าง ได้แก่ บุหลันดั้นเมฆ ทองเอก วุ้นลูกชุบ กลีบลำดวน ขนมทุกอย่างอร่อยมากค่ะ ต่อไปนี้ก็รอฟังผลสัมภาษณ์ว่าจะผ่านมั้ยนะ ลุ้น ลุ้น ลุ้น ???

วันประกาศผลการสัมภาษณ์
ก็ได้แต่รอๆๆ จนมาฮอดมื้อนี่ เป็นเวลา ๑ อาทิตย์เห็นจะได้ ฮ่าๆๆ และแล้วก็มาถึงวันประกาศผลวันที่ ๔ เมษายน เวลาสองทุ่มเศษ ทางเพจโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ เข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง แผนกวิชาอาหารและขนม ดีใจมาก กอไก่ล้านตัว ข้าพเจ้ามีชื่อกับเขาด้วย ดีใจรีบโทรบอกแม่ แม่บอกให้กลับบ้านรีบมาฉลอง ฮ่าๆๆ ก็เลยบอกแม่ว่า ตอนนี้แค่สัมภาษณ์ผ่าน ยังเหลือตรวจร่างกายและตรวจดูประวัติ อีกหลายขั้นตอนกว่าจะได้เข้าเรียนจริงๆ แต่ตอนนี้ก็ดีใจมากแล้ว คนที่ดีใจมากๆไม่ต่างกับข้าพเจ้าอีกคนก็น่าจะเป็นสามีผู้เป็นที่รัก และเป็นผู้ซึ่งให้การสนับสนุนหลักเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าที่วิทยาลัยจะไม่เสียค่าเทอม แต่ค่าอุปกรณ์เราออกหมดทุกอย่างนะคะ และได้ช่วยงานทางวิทยาลัยเพื่อตอบแทนคุณของอาจารย์ที่ช่วยสอบวิชาความรู้ให้ เราได้ความรู้ที่ร่ำเรียนนี้ก็คือว่าเป็นพระคุณมากล้วนแล้วสำหรับตัวข้าพเจ้า
๕ เมษายน วันรายงานตัวและวัดชุดเครื่องแต่งกายนักศึกษา อาจารย์นัดแผนกอาหารและขนมช่วงเวลาประมาณ ๑๑ โมง ที่เดิมอาคาร ๒ เบเกอรี่ แต่ข้าพเจ้าไปรอตั้งแต่เช้าเลย เดินเข้าประตูช่องกุดเหมือนเดิม ไปนั่งรอที่เก้าอี้ไม้กระดานขาเหล็กที่หน้าอาคาร นั่งอยู่คนเดียวริมสุดเพราะยังไม่รู้จักเพื่อนสักคนเลย ช่วงตั้งแต่ ๙ โมง จะเป็นแผนกช่างดอกไม้สดและช่างปักสดึง เพราะว่ามีคนจำนวนน้อยเลยต้องมารายงานตัวก่อน สำหรับแผนกอาหารและขนมก็นั่งรอกันต่อไป
ระหว่างนั่งรอก็มีพี่คนหนึ่งมานั่งด้วยและได้พูดคุยกันตามประสาเพื่อนใหม่พี่แกติดเป็นตัวสำรอง แต่ก็มานั่งรอ เผื่อว่าตัวจริงไม่มารายงานตัว ก็จะได้เรียนแทนเลย ข้าพเจ้าก็ให้กำลังใจพี่เขานะว่า ถ้ามีบุญวาสนาต้องได้เรียนด้วยกันค่ะ วันที่เรียนขอให้ได้เจอกันอีกนะคะพี่ สักพักมีอีกคนเดินมาทักข้าพเจ้าว่า “ พี่จำน้องได้ ” พี่แกว่าวันที่สัมภาษณ์ นั่งใกล้กัน แถวหน้าด้วยกัน ก็เลยจำได้ว่างั้น ฮ่าๆๆ แกชื่อพี่เกม จากนั้นก็นั่งเม้ามอยหอยสังข์ ทำไมรู้สึกว่าถูกชะตาพี่คนนี้จังเลยก็บอกไม่ถูก คุยกันสักพักใกล้ถึงช่วง ๑๑ โมง ก็เลยเดินไปห้องรายงานตัว แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกให้ตัวจริงนั่งเป็นแถวเตรียมตัวเข้าไปวัดชุดด้านใน ส่วนตัวสำรองให้นั่งรอแถวหลังจนกว่าเวลา ๑๒ นาฬิกา ถ้าตัวจริงไม่มารายงานตัวก็จะเรียกตัวสำรองขึ้นมาแทน แล้วเจ้าหน้าที่ก็เรียกแถวเราทั้งแถวเข้าห้องไปวัดชุด มีช่างตัดชุดมาวัดตัวและวัดสัดส่วนให้สำหรับตัดกระโปรง
ชุดนักศึกษาที่โรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง เป็นกระโปรงทรงเอสีกรมความยาวเลยเข่าเกือบถึงกลางแข้ง เสื้อก็ตัวใหญ่เผื่อไซต์ไว้เวลายกหม้อ ยกของ จะได้ไม่หลุดออกจากชายกระโปรงและเพื่อความสุภาพเพราะว่านักเรียนต้องทำเองทุกอย่าง ยกของเองไม่มีคนช่วย ส่วนรองเท้าก็เป็นคัทชูสีดำ กระเป๋าก็ต้องเลือกสีดำด้วยเช่นกัน และรองเท้าบัดดี้รุ่นสีดำไว้ใส่ตอนเข้าเรียน มีเสื้อคลุมและหมวกสำหรับใส่ทำอาหารด้วย สำหรับคนผมยาว ก็ให้มัด ติดกิ๊บให้เรียบร้อยใส่เนตตาข่ายผมด้วย พอเลือกขนาดไซต์เรียบร้อยก็จ่ายเงิน ข้าพเจ้าเอา ๕ ชุด กลัวไม่มีเวลากลับมาซักชุด ฮ่าๆๆ
เมื่อวัดชุดเสร็จแล้วก็ออกมาจากห้องนั้น นั่งรอที่เก้าอี้เหมือนเดิม สักพักก็มีอาจารย์มาพูดคุยแนะแนว อาจารย์บอกว่า แผนกอาหารและขนมนี้เรียนหนัก ต้องมีใจรักและสู้จริงๆถึงจะผ่านไปได้ อดทนให้มากๆ ไม่ใช่ว่ามาเรียนเพื่อพ่อแม่ หรือบางคนเพื่อนชวนมาเรียนก็มาเป็นเพื่อนกับเพื่อน อยากให้มาเรียนเพื่อตัวเองจะได้มีความสุข เรียนที่นี่เรียนค่อยข้างหนัก ต้องยกหม้อ ต้องยืนทั้งวัน จะได้นั่งเฉพาะวิชาแกะสลักเท่านั้น ถ้าได้ยินแบบนี้แล้วใครใจออกก็ขอให้บอก จะได้ไม่เสียสิทธิ์ของคนที่เขาอยากเรียนจริงๆ ไม่ใช่เรียนได้อาทิตย์หนึ่งแล้วก็ออกไปนะ อยากให้มาเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนจนจบ อาจารย์ก็พูดนั่นนี่เยอะอย่างชัดเจน แต่ใจข้าพเจ้าคือตั้งใจไปเรียนมากๆ ฉันต้องเรียนให้จบสิ คนที่มาสมัครรอบสองรอบสามก็มีเยอะนะ เห็นอาจารย์บอกให้ยกมือขึ้น ที่นับได้ก็ห้าหกคนเลย ข้าพเจ้าถือว่าโชคดีที่รอบแรกก็ผ่านสัมภาษณ์ พออาจารย์พูดจบแล้วก็นัดอีกทีวันตรวจร่างกาย
๙ เมษายน วันตรวจร่างกาย การตรวจสุขภาพร่างกายนักศึกษาใหม่ ทางโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง นัดมาตรวจเวลา ๘ :๐๐ น. ข้าพเจ้าออกจากห้องเกือบหกโมงเช้า ถึงประตูช่องกุดประมาณ ๗ : ๓๐ ถึงแล้วเข้าไปที่โรงแพทย์ ไปลงชื่อ รับเอกสารมากรอกประวัติ จากนั้นก็ไปวัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก ตรวจเลือด วัดความดัน และทำการเอกซเรย์ปอดและหัวใจ กับทีมแพทย์มหิดล เก็บตัวอย่างอุจจาระและปัสสาวะ ใส่กระปุกเพื่อทำการตรวจโรค สำหรับวันนี้สิ่งที่ต้องตรวจดังนี้
๑. ความดันโลหิต ชีพจร และตรวจร่างกายโดยแพทย์
๒. ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
๓.ตรวจปัสาวะ เพื่อตรวจหาความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ
๔. เอกซเรย์ปอดและหัวใจ
๕. ตรวจหาเชื้อ HIV
๖. ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
๗. ตรวจอุจจาระ เพื่อตรวจหาไข่พยาธิ และเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร
๘. ตรวจสารเสพติดทุกชนิด
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ๑,๐๔๐ บาท ทางวิทยาลัยได้แจ้งว่าให้มาพบแพทย์หลวงในวันที่ ๒๖ เมษายน
** โดยเฉพาะแผนกอาหารและขนมต้องตรวจแบบละเอียดกว่าแผนกอื่น เพราะต้องตรวจอุจจาระเพิ่มด้วย
วันพบแพทย์หลวง
สำหรับแผนกอาหารและขนม ลำดับที่ ๒๖-๔๕ ทางวิทยาลัยนัดเวลาบ่ายโมงตรง ที่อาคาร ๒ เบเกอรี่ เพื่อพบแพทย์หลวง เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ได้เดินนำไปยังโรงแพทย์หลวง พอถึงก็จะมีเก้าอี้ให้นั่งเรียงกันตามลำดับ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาเก็บบัตรประชนชนแต่ละคนไปเพื่อทำประวัติและเชคประวัติก่อน ทำการพบแพทย์หลวง
ข้าพเจ้าเป็นคนที่ ๒๗ จึงต้องพบแพทย์เป็นคนที่ ๒ เมื่อเข้าไปในห้องตรวจแล้ว แพทย์หลวงก็บอกว่า “ ร่างกายแข็งแรง ปกติดี ” แค่คำพูดนี้ทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจขึ้นมาเลย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา กลัวว่าผลตรวจร่างกายจะไม่ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็คือไม่สามารถเรียนได้เลยทีเดียวนะ ย้ำว่า….หมดสิทธิ์เรียนแน่นอน แต่วันนี้ก็ได้คำตอบที่ดี และมั่นใจได้ว่า ข้าพเจ้าจะได้เรียนจริงๆแล้วหายห่วงกลับห้องได้ เย้ๆๆ
พอออกจากห้องพบแพทย์หลวงเสร็จ ข้าพเจ้าก็นั่งรอพี่เกม เพราะพี่เขาต้องรอคิวอีกสามคน ก็เลยนั่งคุยกับแกก่อน ระหว่างที่คุยกัยก็จะมีพี่คนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า พี่แกติดสำรองอันดับที่ ๗ เป็นคนสุดท้ายที่ทางวิทยาลัยเรียกมาแทนตัวจริงที่สละสิทธิ์ และคนที่เป็นตัวสำรองอันดับที่ ๘ นั่งรอจนเที่ยงสิบนาทีกำลังจะเดินเข้าห้องไปตัดชุดวัดตัว ตัวจริงก็เดินมาพอดี คนที่ได้สำรองอับดับ ๘ เลยไม่ได้เรียน (จะบอกว่าระหว่างที่รอรายงานตัวของแผนกอาหารและขนมเริ่มเวลาตอน ๑๑ โมงถึงเที่ยง ทางอาจารย์ก็โทรตามตัวจริงทั้งหมดเลยนะ ให้โอกาสจนถึงเที่ยงสิบนาที เสียดายแทนคนนั้นจริงๆ คลาดกันนิดเดียว นี่ขนาดเดินเข้าห้องไปแล้วนะ ตัวจริงยังดันมาทันเวลาพอเหมาะอะไรจะขนาดนั้น ดวงจริงๆ ) พอพี่เกมพบแพทย์เสร็จแล้วออกมาจากห้อง สรุปว่าเราสองคนร่างกายแข็งแรง ปกติดี ทั้งสองคนเลยจ้า และจะได้เข้าเรียนจริงๆ หล่ะเด้อ
อาจารย์นัดมารับชุดอีกทีวันที่ ๑๔ พฤษภาคม เวลา ๑๐ โมง ที่อาคาร ๒ เหมือนเดิมจ้า จากนั้นเราสองคนก็พากันเดินออกจากพระบรมมหาราชวัง มารอรถเมล์กลับห้องด้วยความสบายใจ ฮ่าๆ และลำดับต่อไปก็คงต้องไปหาซื้อพวกรองเท้าคัทชูสีดำ ส้น ๑ นิ้ว แบบใส่สบายนิ่มๆ และรองเท้าบัดดี้สีดำ เสื้อทับสีขาว (ย้ำว่าต้องเป็นเส้นทับแบบเด็กน้อยใส่ เสื้อกล้ามมีแขน ) ห้ามเป็นสายเดี่ยวนะจ๊ะ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจทุกเช้าจ้า
โปรดติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆนะจ๊ะ เราจะนำความรู้ในโรงเรียนช่างฝีมือมาเล่าสู่ฟังไปเรี่อยๆ เพื่อบันทึกไว้และสืบสานงานฝีมือไทยจ้า