Bitcoin Cryptocurrecy

บิทคอยน์คืออะไร ทำไมเราต้องอยากรู้จัก เหรียญหนึ่งราคาเป็นแสน

บิทคอยน์คืออะไร เป็นคำถามสำหรับหลายๆคนที่อยู่นอกวงการใคร่อยากรู้ แม้แต่รองนายกรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังสั่งให้กระทรวงการคลังไปศึกษาเรื่องของบิทคอยน์ ดังนั้นเราประชาชนก็ต้องอยากรู้และควรรู้ ในกลุ่มคนที่รู้แล้วและเพิ่งรู้หรือกูรูต่างๆก็จะพบว่าราคาของบิทคอยน์พุ่งพรวดแบบติดจรวดขึ้นมาเลยแค่ในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมานี้ จากเดือนเมษายน 2017 ราคาอยู่ประมาณที่ 1,083.94 USD ต่อ 1 บิทคอยน์ (ฺBTC) และเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2017 ราคาอยู่ที่  2,954.22  USD ต่อ 1 บิทคอยน์ ขึ้นมาเกือบ 200 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบัน ณ วันที่โพสต์เรื่องนี้ราคาอยู่ที่ 4,375 USD วันที่ 17 สิงหาคม 2560 ข้อมูลจาก bitstamp

บิทคอยน์คืออะไร

บิทคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุลหนึ่งพร้อมด้วยระบบการชำระเงิน (Cryptocurrency and Payment system) ซึ่งสร้างขึ้นโดยกลุ่มโปรแกรมเมอร์นามว่า ซาโตชิ นากามูระ (SATOSHI NAKAMURA) ซึ่งเป็นกลุ่มหรือบุคคลที่ไม่เปิดเผยตัวตนและไม่มีใครทราบว่าเป็นใครสัญชาติใดแม้ว่าชื่อจะคล้ายไปทางญี่ปุ่นก็ตาม บิทคอยน์แนะนำตัวเองครั้งแรกด้วยข้อความติดรหัสผ่านอีเมล์ลิสต์ในวันที่ 11 ตุลาคม 2008 และเปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบซอฟท์แวร์โอเพนซอส ในปี 2009

ระบบบิทคอยน์เป็นแบบ Peer to Peer (เป็นการจัดการระบบเครื่อข่ายที่ไม่มี Server ส่วนกลาง) มีการทำธุรกรรมโดยตรงระหว่างผู้ใช้ทั้งสองฝั่งโดยไม่ผ่านระบบคนกลางเหมือนกับเงินสกุลทั่วๆไปในปัจจุบัน ธุรกรรมเหล่านี้จะถูกตรวจสอบและยืนยันด้วยโนดของระบบเครือข่ายและถูกบันทึกด้วยระบบบัญชีแยกประเภทแบบสาธารณะชื่อว่าระบบ บล๊อคเชน (ฺBlockchain) บิทคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลแบบที่ไม่รวมศูนย์กลาง ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แต่จะใช้การตรวจสอบหรือยืนยันและบันทึกด้วยระบบเครื่อข่ายทั่วโลก

บิทคอยน์ถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่แข่งขันใช้พลังความสามารถของความพิวเตอร์ในการประมวลผลเพื่อยืนยัน ตรวจสอบ และบันทึกการทำธุรกรรมต่างๆของบิทคอยน์ ลงใน บล็อคเชน ซึ่งกิจกรรมแบบนี้เรียกว่าการทำเหมือง (Mining) ผู้ที่ชนะจะได้รับรางวัลเป็นบิทคอยน์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ และยังได้รับค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมอีกด้วย  บิทคอยน์นอกเสียจากจะใช้ในการให้รางวัลสำหรับนักทำเหมืองแล้ว ยังสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับเงินตราในสกุลอื่นๆ และยังใช้ซื้อของและบริการได้อีกด้วย ผู้ที่ทำธุรกรรมสามารถเพิ่มค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเพื่อให้การทำธุรกรรมได้รับการยืนยันและบันทึกได้เร็วขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 ร้านค้าที่รับบิทคอยน์ในการซื้อขายสินค้าและบริการมีเพิ่มขึ้นถึง 100,000 ร้าน

Bitcoin Cryptocurrecy
Bitcoin Cryptocurrecy เงินดิจิทัลสกุลบิทคอยน์

เหมืองบิทคอยน์ทำงานอย่างไร?

เงินในปัจจุบันแต่ละสกุลจะถูกควบและกำหนดโดยธนาคารกลางของแต่ละรัฐบาลหรือกลุ่มประเทศ เมื่อต้องการเพิ่มจำนวนเงินในระบบก็สามารถพิมพ์เงินออกมาใช้ได้เลย ทำให้บางประเทศมีสภาพเป็นเงินเฟ้อ และขาดความน่าเชื่อถือ แต่บิทคอยน์มีความแตกต่าง คือไม่มีใครสามารถพิมพ์ออกมาได้ ผู้ที่จะมีได้ก็ต้องแข่งขันกันทำเหมืองด้วยคอมพิวเตอร์จากทั่วโลก  ใครไม่ทำเหมืองก็ต้องซื้อหาหรือนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน ไม่มีใครพิมพ์หรือผลิตขึ้นมาได้ และไม่มีใครเป็นศูนย์กลาง

การทำเหมืองบิทคอยน์คือการทำอะไร

หลายๆคนยังมีจินตนาการเรื่องการทำเหมืองว่าต้องมีการขุดดิน ขุดอุโมงค์ ระเบิดภูเขา และนั่นเป็นเหมืองที่ขุดเอาทรัพยากรธรรมชาติ แต่เหมืองบิทคอยน์แตกต่างกันไปคนละเรื่องราวเลย การทำเหมืองบิทคอยน์คือการแข่งขันกันบันทึกและยืนยันการทำธุรกรรมของบิทคอยน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ด้วยคอมพิวเตอร์ที่อยู่ทั่วโลกเช่นกัน เมื่อใครชนะก็จะได้รับรางวัลเป็นบิทคอยน์ ในปัจจุบันนี้มีคนทำธุรกรรมเกี่ยวกับการรับการส่งบิทคอยน์ทั่วโลก และการทำธุรกรรมเหล่านี้จะต้องมีการบันทึกและยืนยัน เพื่อจะทำให้ทราบและตามร่องรอยได้ว่าใครส่งอะไรให้ใครเท่าไรเวลาเท่าไร  บิทคอยน์เนตเวิร์คจัดการงานนี้ด้วยการจัดการและรวบรวมการทำธุรกรรมเหล่านี้ในช่วงเวลาหนึ่งๆและใส่ลงไปในลิสต์รายการที่เรียกว่า “บล๊อค” และหน้าที่ของชาวเหมืองคือยืนยันธุรกรรมในบล๊อคและบันทึกลงบนบัญชีแยกประเภท “บล๊อคเชน”

การทำเหมืองบิทคอยน์ต้องสร้างแฮช “HASH” แล้วแฮชคืออะไร

จากหลายๆย่อหน้าที่เขียนไว้ข้างบนว่า ชาวเหมืองบิทคอยน์มีหน้าที่ต้องแข่งขันกันบันทึกบัญชีแยกประเภทแบบสาธารณะ หรือ “บล๊อคเชน” การบันทึกและยืนยันการทำธุรกรรมนี้เป็นการกระทำของคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น และระบบของบิทคอยน์จะอยู่และดำเนินธุรกรรมไปได้ การกระทำเหล่านี้จะต้องได้รับความเชื่อถือและไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงและยุ่งเกี่ยวได้ อันนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญ

เมือบล๊อคของการทำธุรกรรมถูกสร้างขึ้น ชาวเหมืองบิทคอยน์จะนำบล๊อคนั้นเข้าสู่กระบวนการ ด้วยการนำข้อมูลของบล๊อคนั้นใส่สูตรคณิตศาสตร์ และแปลงให้เป็นอย่างอื่นที่ดูไม่รู้เรื่องเสียก่อน ซึ่งสิ่งนั้นก็จะเป็นอะไรที่ยาวๆ แบบชุดของการสุ่มตัวเลขและตัวอักษร ทำให้อ่านแล้วก็ไม่สามารถรู้ว่าเป็นอะไร ซึ่งการทำอันนี้เขาเรียกว่าแฮช “HASH” และแฮชนี้จะถูกบันทึกต่อเนื่องกันกับบล๊อกก่อนหน้านี้เป็นโซ่ยาวต่อๆกันมา

แฮช “Hash” มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งคือ เป็นอะไรที่สร้างขึ้นมาง่ายๆ จากข้อมูลในบล๊อคของบิทคอยน์ และสร้างขึ้นมาแล้วก็เป็นรูปลักษณะที่อ่านไม่ออก ดูไม่เข้าใจ ว่ามันเป็นข้อมูลอะไร และแฮชก็เป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจง ถ้าเปลี่ยนตัวอักษรหรือตัวเลขเพียงแค่ตัวเดียว แฮชนั้นก็กลายเป็นอย่างอื่นไปแล้วทั้งหมด

การสร้างแฮชของชาวทำเหมืองบิทคอยน์ไม่ได้นำข้อมูลจากการทำธุรกรรมเฉพาะของบล๊อคนั้นมาใช้เพียงแค่เท่านั้น การจะสร้างแฮชเพื่อบันทึกในบล๊อคเชน จะต้องนำข้อมูลบางส่วนของบล๊อคที่ได้บันทึกไว้ในบล๊อกเชนก่อนหน้าแล้วมาทำการแฮชรวมด้วย ดังนั้นข้อมูลของแฮชใหม่นี้จะต้องประกอบไปด้วยข้อมูลของบล๊อคธุรกรรมอันที่จะนำไปบันทึก และข้อมูลบางส่วนของบล๊อคก่อนหน้านี้ด้วย และทุกๆบล๊อกก็จะประกอบไปด้วยลักษณะแบบนี้ต่อๆกันไป

ถ้ามีใครสักคนหนึ่งพยายามจะทำ บล๊อคธุรกรรมปลอมเข้ามาแทนที่บล๊อคที่ถูกบันทึกไว้แล้ว จะส่งผลกระทบต่อบล๊อคอื่นๆต่อมา ซึ่งทำให้เกิดกลายเป็นบล๊อคธุรกรรมปลอมด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นบล๊อคธุรกรรมปลอมนั้นจะถูกตัดทิ้ง และเข้ามาแทนที่ไม่ได้เพราะจะทำให้บล๊อคธุรกรรมที่ตามมาปลอมหมด ดังนั้นการบันทึกธุรกรรมแบบบล๊อคเชนจึงไม่สามาถแก้ไขและทำปลอมได้

การแข่งขันกันขุดเหมืองเพื่อรับรางวัลเป็นบิทคอยน์

เราจะเห็นแล้วว่านักขุดเหมืองบิทคอยน์มีหน้ายืนยันและบันทึกธุรกรรมด้วยการสร้างแฮชขึ้นมา แต่นักขุดเหมืองบิทคอยน์ไม่ได้มีคนเดียว ทั่วโลกมีมากมายหลายล้านคน คนเหล่านี้ก็จะเขียนโปรแกรมขึ้นมาแข่งขันกันสร้างแฮช เมื่อมีใครคนหนึ่งชนะการแข่งขันการแฮช หมายถึงสามารถสร้างแฮชสำเร็จจากบล๊อคธุรกรรม ระบบบิทคอยน์ก็จะให้รางวัล 25 บิทคอยน์ในการแฮชแต่ละบล๊อค เมื่อสำเร็จก็จะถูกอัพเดตไปในระบบ บล๊อคเชน (บัญชีแยกประเภทถูกอัพเดต) และทุกคนที่เกี่ยวข้องก็จะได้รับทราบไปพร้อมๆกัน

ด้วยความสามารถของคอมพิวเตอร์สมัยนี้ ทำให้การแฮชเป็นเรื่องง่ายๆและสามารถทำได้หลายร้อยบล๊อคในหนึ่งวินาที ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วในเวลาเพียงไม่กี่นาที บิทคอยน์ที่มีอยู่ในระบบเพียง 21 ล้านเหรียญก็จะหมดไปภายในไม่กี่นาที ดังนั้นระบบบิทคอยน์เนตเวิร์คจึงทำให้มันยากขึ้นโดยการสร้างเงื่อนไขด้วยสิ่งที่เรียกว่า Proof of Work ขึ้นมา ให้นักขุดเหมืองบิทคอยน์ต้องทำตามเงื่อนไขนี้ก่อนเท่านั้นจึงจะยอมรับว่าแฮชที่สร้างขึ้นมานั้นถูกต้องและสามารถเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายของบิทคอยน์ได้ Proof of Work เป็นการแฮชส่วนของข้อมูลเพียงเล็กน้อยบนเงื่อนไขที่มีความเป็นไปได้ที่ต่ำ ดังนั้นมันเป็นงานอะไรที่เสียเวลาและทรัพยากรมากในการสุ่ม ส่งผลให้นักขุดเหมืองบิทคอยน์แต่ละคนไม่สามารถสร้างบล๊อคที่ถูกยอมรับได้ง่ายๆ ดังนั้นรางวัลที่จะแจกให้กับนักขุดเหมืองบิทคอยน์ก็ไม่ได้มาง่ายๆ ซ้ำยากไปกว่านั้นระบบของบิทคอยน์จะปรับเงื่อนไขความยากทุกๆ 10 นาทีเพื่อไม่ให้เกิดการแจกจ่ายบิทคอยน์มากเกินไป อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการสร้างสมดุลของปริมาณบิทคอยน์

Could Mining
Cloud Mining

ทำอย่างไรเราจะมีบิทคอยน์ไว้ครอบครองได้

บิทคอยน์ ไม่เหมือนเงินในระบบที่เราใช้กันทุกวันนี้ที่ต้องเก็บไว้ในธนาคารหรือเก็บไว้รูปธนบัตรหรือเหรียญ แต่บิทคอยน์ต้องเก็บไว้กระเป๋าอิเลคโทรนิคส์ เรียกว่า Bitcoin wallet เพราะว่ามันเป็นแค่รหัสตัวเลขและตัวอักษรที่สร้างมาจากคอมพิวเตอร์ ดังนั้นก่อนที่เราจะมีบิทคอยน์ได้เราต้องมีกระเป๋าสำหรับใส่เสียก่อน มาเรียนรู้กันว่ากระเป๋าบิทคอยน์มีกี่ชนิดและมีอะไรบ้าง

ชนิดของ Bitcoin Wallet มีอะไรบ้าง

บิทคอยน์วอลเล็ต (ฺBitcoin Wallet) หรือกระเป๋าใส่เงินบิทคอยน์ ตามสะดวกแต่จะเรียก Bitcoin Wallet นี้เป็นเสมือนบัญชีธนาคารของเราเอง แต่น่าจะเหมือนกระเป๋าเงินมากกว่า เพราะบัญชีธนาคารๆสามาถเอาเงินเราไปใช้ก่อนได้ แต่นี่ไม่ใช่มันเป็นเหมือนเซฟหรือกระเป๋าสตางค์มากกว่า เพราะไม่มีใครเอาเงินเราไปไหนได้ เราสามารถส่งให้ใครก็ได้และรับจากใครก็ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารเลยก็หมายความว่าเราเป็นธนาคารเอง  หน้าที่ของมันคือรับ-ส่ง และเก็บบิทคอยน์ โดยมีรหัสความปลอดภัยสองอย่างคือ รหัสส่วนตัว (Private Key) ใช้ในการจ่ายเงินเข้าสู่กระเป๋าเงินของคนอื่น และรหัสสาธารณะ (public key) ใช้ในการรับบิทคอยน์จากคนอื่น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ Hot wallet เป็นกระเป๋าเงินบิทคอยน์ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนต และ Cold Storage wallet เป็นกระเป๋าเงินบิทคอยน์ ที่ไม่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตจะใช้เมื่อไรจึงมีการเชื่อมต่อ ชนิดนี้ปลอดภัยจากการโจรกรรมทางอินเตอร์เนต และมันยังมี 4 ชนิดให้เลือกใช้ได้ดังนี้

Software Wallets เป็นกระเป๋าบิทคอยน์แบบ Hot Wallet ที่เราต้องดาวน์โหลดโปรแกรมเข้ามาติดตั้งในคอมพิวเตอร์ที่ของเรา มีทั้งติดตั้งในอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะรวมไปถึงโน๊ตบุคด้วย โปรแกรมที่เราจะดาวน์โหลดมาสร้างกระเป๋าบิทคอยน์ของเราเองก็สามารถหาดาวน์โหลดได้ฟรี

สำหรับเดสท๊อปหรือโน๊ตบุคก็ได้แก่

โปรแกรม Bitcoin core โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมขนาดใหญ่เพราะต้องโหลดข้อมูลจาก บล๊อคเชนเข้ามาไว้ในคอมพิวเตอร์ของเรา ขนาดถึง 145 GB เลยใครไม่มีพื้นที่เก็บหรือเนตไม่แรงก็ไม่ขอแนะนำ ถ้าใครต้องการโหลดก็คลิกที่ลิ้งค์ได้เลย โปรแกรม Electrum ซึ่งเป็นโปรแกรมกระเป๋าเงินบิทคอยน์สำหรับคอมพิวเตอร์เดสท๊อปยอดนิยมอีกตัวหนึ่ง ซึ่งง่ายต่อการใช้และติดตั้งโปรแกรม Bitcoin Armory โปรแกรมกระเป๋าเงินบิทคอยน์ที่มีการใช้ในมานาน แต่มีการตั้งค่าที่ยุ่งยากนิดนึง ไม่เหมาะสำหรับคนไม่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมเลย ข้อดีก็คือเราสามารถตั้งค่าให้ไปเป็น Cold Storage ที่ปลอดภัยจากการโจรกรรมจากอินเตอร์เนตได้ด้วย

สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ พวกสมาร์ทโฟนต่างๆ

 มาในรูปของแอพพลิเคชันที่สำหรับติดตั้งในโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ทโฟน เช่น  MyCelium รองรับทั้งระบบ IOS และ Android หาโหลดได้ใน appstore และจาก Playstore สามารถแบคอัพได้แม้ว่าโทรศัพท์ท่านจะสูญหายก็สามารถโหลดข้อมูลกระเป๋าบิทคอยน์ที่แบ๊คอัพไว้ได้ อีกตัวก็คือ  Copay ตัวนี้มีให้เลือกใช้ทั้งแพลตฟร์อมอุปกรณ์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์เดสท๊อป ทั้งสองตัวสามารถสร้างกระเป๋าบิทคอยน์ได้หลายแอสเดรสหรือหลายกระเป๋า ด้วยระบบ HD hierarchical-deterministic และป้องกันความปลอดภัยด้วยความสามารถในการแบคอัพกระเป๋าเงินบิทคอยน์ได้

กระเป๋าเงินบิทคอยน์แบบเป็น Software นี้แม้จะติดตั้งไว้ที่คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากการถูกโจรกรรม ผู้ร้ายทางอินเตอร์เนตก็อาจจะส่งมัลแวร์มาโจรกรรมเราก็ได้

Online Wallets เป็นกระเป๋าเงินบิทคอยน์แบบออนไลน์โดยข้อมูลของกระเป๋าบิทคอยน์ของเรารวมทั้ง Private Key จะอยู่บน Server ของผู้ให้บริการ กระเป๋าบิทคอยน์ชนิดนี้เป็นชนิดที่ใช้ง่ายที่สุด เราสามารถเข้าถึงกระเป๋าบิทคอยน์ของเราจากที่ใดและบนอุปกรณ์ตัวใดก็ได้ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เนต เช่นเดียวกันผู้ร้ายทางระบบอินเตอร์เนตก็เข้าถึงได้เช่นกัน ตัวอย่างการโจรกรรมเวปแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ชื่อดัง Mt.Gox ในปี 2014 โดยแฮกเกอร์ซึ่งได้เงินไปมีมูลค่าถึง 460 ล้านเหรียญสหัฐอเมริกา ดังนั้นในกรณีที่เราใช้กระเป๋าเงินบิทคอยน์ออนไลน์เราควรใช้สำหรับการทำธุรกรรมปริมาณน้อยๆ ถ้าเรามีการทำธุรกรรมหรือเก็บบิทคอยน์ที่มีปริมาณมากๆ ควรใช้กระเป๋าแบบ Cold Storage จะปลอดภัยกว่า

เวปไซต์ที่ให้บริการกระเป๋าเงินออนไลน์ยอดนิยมก็เช่น BlockChain ของประเทศไทยเราก็คือ Coins.co.th สามารถคลิ๊กเข้าไปสมัครใช้ได้เลย

Paper Wallets ใครบอกเงินบิทคอยน์ไม่สามารถจับต้องได้อย่าได้เชื่อ เพราะว่าเราสามารถพิมพ์กระเป๋าบิทคอยน์ชนิดกระดาษเก็บไว้ได้ด้วย โดยการพิมพ์ข้อมูลระหัสส่วนตัว (Private Key ใช้สำหรับจ่ายบิทคอยน์ไปสู่กระเป๋าผู้อื่น) และระหัสสาธารณะ (Public Key ใช้สำหรับรับบิทคอยน์จากผู้อื่น ซึ่งก็คือ Wallet Adress นั่นเอง)ออกมาเป็นกระดาษเก็บไว้ได้ด้วย กระเป๋าบิทคอยน์แบบกระดาษนี้เป็นกระเป๋าเงินที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เนตอย่างสมบูรณ์เป็น Cold Storage สมบูรณ์แบบ ซึ่งโจรทางอินเตอร์เนตไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างสิ้นเชิง โดยมากเราสามารถพิมพ์กระเป๋าบิทคอยน์ได้จากทั้งกระเป๋าบิทคอยน์ที่เป็นระบบ Software และพวกที่เป็นระบบออนไลน์ ซึ่งมักจะใส่ฟังชันค์กระเป๋าแบบกระดาษไว้ด้วย หรือจะไปสร้างกระเป๋าเงินบิทคอยน์ที่เวปนี้ก็ได้ BitAddress ก็ได้ ซึ่งเวปไซต์นี้ก็จะสร้างรหัสทั้ง private key และ Public Key ให้เรา และเราก็พริ้นต์ออกมาเก็บไว้ได้และใช้ได้เลย

วิธีการใช้กระเป๋าเงินบิทคอยน์ชนิดกระดาษนี้มีง่ายๆดังนี้

การรับบิทคอยน์ นั้นไม่ยากง่ายๆเพียงแค่แจ้ง Public key ซึ่งก็คือ wallet address นั่นเอง ให้กับผู้ที่ต้องการจะส่งเงินบิทคอยน์ให้กับเรา โปรดระมัดระวังว่าเป็น Public Key เท่านั้น ใช้วิธีสแกน QR CODE หรือ พิมพ์ส่งโดยตรงก็ได้

การใช้เงินบิทคอยน์  อันนี้ยุ่งยากนิดนึง แต่สำหรับใครที่คุ้นเคยกับบิทคอยน์อยู่แล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร คือว่าการจะจ่ายเงินให้ใครเราจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของบิทคอยน์ดังนั้นจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตด้วย การจะเชื่อมต่อกับระบบบิทคอยน์ได้เราจำเป็นต้องมีกระเป๋าเงินบิทคอย์ที่ติดต่อกับอินเตอร์เนตได้ ขั้นตอนคือเราต้อง import  private key ของกระเป๋าเงินกระดาษไปยังกระเป๋าเงินที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตได้ ย้ำต้องเป็นกระเป๋าของเราเท่านั้น เดี๋ยวถูกคนอื่นหลอกเอาเงินหมด จากนั้นก็ import private key หลังจาก import private key เข้าสู่กระเป๋าเงินที่เชื่อมต่อออนไลน์แล้ว เงินบิทคอยน์ทั้งหมดในกระเป๋าเงินกระดาษจะเข้าไปสู่กระเป๋าเงินที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตอยู่ โดยไปทั้งหมดไม่สามารถแบ่งไปได้ เมื่อต้องการส่งให้คนอื่นจึงจ่ายผ่านกระเป๋าเงินที่ออนไลน์อยู่นี้อีกทีหนึ่ง

Hardware Wallets เป็นกระเป๋าบิทคอยน์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ที่ไม่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เนต สามารถสร้างรหัสส่วนตัวและรหัสสาธารณะได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนต รูปร่างลักษณะจะเหมือนกับ USB ใช้เสียบต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ในการทำธุรกรรม (การทำธุรกรรมอย่างไรก็ต้องใช้อินเตอร์เนต) มีฟังค์ชั่นการใช้งานง่ายไม่ต้องอาศัยความรู้ด้านเทคนิคใดๆ ในกระเป๋าบิทคอยน์แบบฮาร์ดแวร์นี้ยังมีรหัสความปลอดภัยในการเข้าสู่กระเป๋าเพื่อความปลอดภัยในการทำสูญหายหรือถูกจารกรรม กระเป๋าบิทคอยน์แบบฮาร์ดแวร์มีความปลอดภัยจากการโจรกรรมทางอินเตอร์เนต เพราะรหัสส่วนตัวและข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บไว้แบบออฟไลน์ การทำธุรกรรมที่มีปริมาณมากๆสมควรอย่างยิ่งที่ต้องหามาใช้ ยี่ห้อยอดนิยมก็คือ TREZOR และ Ledger Wallet

bitcoin wallet
รายละเอียดในการทำธุรกรรมในกระเป๋าบิทคอยน์
แหล่งในการหาบิทคอยน์มาใส่กระเป๋า

การได้มาซึ่งบิทคอยน์วิธีการอยู่ 3 วิธีคือ

  • ด้วยการซื้อหรือแลกเปลี่ยน เมื่อเรามีกระเป๋าสำหรับใส่บิทคอยน์แล้วเราก็สามารถให้ผู้ใดก็ได้จ่ายเงินให้เราเป็นบิทคอยน์ เราสามารถขายสินค้าและบริการโดยเรียกรับค่าตอบแทนเป็นบิทคอยน์ได้ทันที หรือเราสามารถให้เงินหรือบัตรเครดิตซื้อหาได้โดยตรงได้จาก บุคคล หรือ ตลาดค้าขายบิทคอยน์ได้ ตลาดที่เราสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ได้ สำหรับประเทศไทยก็มี Bx.in.th สามารถซื้อขายและแลกเปลี่ยนได้คล้ายกับตลาดหลักทรัพย์แต่ไม่ได้อยู่ในการกำกับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนั้นผู้เข้าซื้อขายต้องยอมรับความเสี่ยงเอาเอง แต่เวปไซต์นี้เปิดให้บริการก็ยังไม่สร้างปัญหาใดๆ การซื้อขายแต่ละครั้งมีค่าธรรมเนียมที่ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ข้อดีสำหรับคนไทยก็คือสามารถโอนเงินเข้าออกผ่านธนาคารพานิชย์ของไทยได้ และใครถนัดเวปไซต์ต่างประเทศแนะนำ เวปไซต์มาตรฐานจดทะเบียนที่ประเทศลักเซมเบิร์ก Bitstamp
  • หาบิทคอยน์ฟรี จากเวปโฆษณาเภท FAUCET  เวปไซต์ประเภท faucet เป็นเวปโฆษณาประเภทที่ให้เราทำอะไรเล็กๆน้อย เช่น กด Capctha เล่นเกมส์ หรือ ตอบแบบสอบถามแล้วให้รางวัลเป็นเหรียญบิทคอยน์เล็กๆน้อย เหมาะสำหรับการหาเงินบิทคอยน์เอาไว้ทดลองเล่นหรือทดสอบอะไรบางอย่าง แนะนำให้ไปที่ Faucet Hub ซึ่งเป็นที่รวบรวมเวปไซต์ประเภทหาบิทคอยน์ฟรีไว้อย่างมากมาย สมัครใช้งานเวปไซท์นี้ เมื่อคุณหาบิทคอยน์ได้ครบ 20,000 ซาโตชิแล้วจึงจะโอนออกไปยังกระเป๋าเงินบิทคอยน์ของเราได้ ค่าธรรมเนียมในการโอน 400 ซาโตชิ
  • ขุดเหมืองบิทคอยน์ สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนขุดเหมืองบิทคอยน์ด้วยตนเอง ก็สามารถทำได้ 2 วิธี
    • วิธีเป็นแรกเป็นวิธีแบบธรรมดาปกติคือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขุดเลย ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ใช้ขุดก็จะขุดได้ด้วยทั้ง CPU และ GPU การ์ดจอ แต่ประสิทธิภาพของการ์ดจอจะดีกว่า ในปัจจุบันค่าความยากของการขุดบิทคอยน์สูงขึ้นทุกวัน เครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดาคงขุดได้ไม่คุ้มค่าไฟ เราสามารถเปรียบเทียบการใช้ไฟของฮาร์ดแวร์ในการขุดแต่ละตัวได้ที่เวปไซต์ CryptoCompare ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งจุดคุ้มทุนในแต่ละตัว ในปัจจุบันหลายบริษัทได้ลงทุนในการประดิษฐ์และออกแบบเครื่องมาไว้ใช้ขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะ เช่น ว่ากันว่าดีที่สุดตอนนี้ก็คือ Antminer S9 มีค่าตัวอยู่ที่ 1,141 เหรียญสหรัฐอเมริกา มีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 122 วันใครสนใจก็ลองหาดูและเปรียบค่าไฟที่บ้านเราด้วย
เหมืองบิทคอยน์ GPU
เหมืองบิทคอยน์ที่ทำมาจากการ์ดจอหลายๆอัน ใครๆก็ทำได้ Cr: Really Cool Deal
  • วิธีที่2 Cloud Mining เป็นการซื้อหรือร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการที่ได้ลงทุนในเครื่องขุดบิทคอยน์ โดยผู้ประกอบการจะแบ่งพลังในการขุดมาขายให้กับผู้สนใจลงทุนแต่ไม่อยากมีความยุ่งยากใดๆเกี่ยวกับสถานที่และเครื่องไม้เครื่องมือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซม บำรุงรักษา และเขาก็เก็บค่าน้ำค่าไฟ ค่าบำรุงรักษา และอื่นๆ เอากับผู้ลงทุน ผู้ให้บริการพวกนี้ส่วนมากพบว่าเป็นการหลอกลวง คือไม่มีอยู่จริงมีแต่เวปไซต์หลอกลวงลักษณะแชร์ลูกโซ่ เอาเงินคนโน้นมาจ่ายคนนี้ แต่ก็มีที่จริงอยู่บ้างที่โด่งดัง และไม่หลอกลวงและคนนิยมใช้ และเราก็ทดลองใช้แล้ว ก็คือ Genesis Mining กับ EOBOT ซึ่งเหมาะกันไปคนละแบบ Genesis mining เหมาะสำหรับที่มีเงินลงทุนตั้งแต่ 30 USD ขึ้นไปเพราะเขาขายน้อยสุดที่ 200 GH/S ราคา 30 USD ส่วน EOBOT แพงมากและปรับราคาเรื่อยๆตามอัตราแลกเปลี่ยนของบิทคอยน์เลย ถ้าซื้อด้วยเหรียญบิทคอยน์หรือพวก Cryptocurrency อื่นๆจะมีค่าแลกเปลี่ยนอีก 5 % ไม่รู้ว่าจะมีกำไรได้อย่างไร ช่วงนี้ EOBOT จะมีอัตราคืนทุนที่ 22 เดือนไปแล้ว แต่ก็เหมาะกับคนที่หาเหรียญบิทคอยน์ฟรีมาลงทุน เพราะว่าเราซื้อเท่าไรก็ได้เป็นสัดส่วนเลย 100 หรือ 200 ซาโตชิได้ แต่ถ้าจะโอนเข้ามาซื้อจากที่อื่นก็ครั้งละ 10,000 ซาโตชิขึ้นไป อย่างไรก็ตาม EOBOT เหมาะสำหรับการลงทุนซ้ำ คือขุดได้เท่าไรก็เอาไปซื้อลงทุนซ้ำได้เลย แต่อย่าลืมว่าสัญญาแค่ 5 ปีเท่านั้น ไม่เหมือน Genesis ซึ่งเป็นสัญญาตลอดชีพ แต่ถ้าสัญญาของเราไม่คุ้มค่าไฟรายวันก็จะถูกยกเลิกอัตโนมัติ

บิทคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุลหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีมูลค่าสูงสุดในตลาดเงินดิจิทัลตอนนี้ มีความพิเศษกว่าเงินในสกุลต่างๆที่เราใช้ในปัจจุบันคือไม่มีธนาคารกลางหรือธนาคารใดๆมีอำนาจเหนือหรือครอบงำได้ เนื่องจากมันสามารถยืนยันค่าและทำธุรกรรมได้ด้วยระบบของมันเอง ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้บุคคลที่ 3 มารับรองและยืนยันการทำธุรกรรม และไม่สามารถปลอมแปลงการทำธุรกรรมได้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องล้วนมีส่วนร่วมในการบันทึกธุรกรรม ไม่ต้องการระบบการจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมส่วนกลาง

ด้วยความพิเศษของมันจึงทำให้หลายคนคาดว่าจะมาแทนเงินตราในปัจจุบัน และจะหมดยุคการพิมพ์เงินตราขึ้นมาใช้เองของประเทศต่างๆ ทำให้ตลาดการค้าขายบิทคอยน์มีความต้องการอย่างสูง และค่าความยากในการขุดบิทคอยน์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บิทคอยน์มีมูลค่าสูงขึ้นไปอีก ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 144,000 บาทต่อ 1 เหรียญบิทคอยน์ ณ วันที่ 17/8/2560 ราคาจากเวป Bx.in.th

กระดานซื้อขายบิทคอยน์
กระดานซื้อขายบิทคอยน์ ลักษณะคล้ายกันกับการซื้อขายหลักทรัพย์

1 thought on “บิทคอยน์คืออะไร ทำไมเราต้องอยากรู้จัก เหรียญหนึ่งราคาเป็นแสน”

  1. Pingback: เทคโนโลยี บล็อคเชน กระดูกสันหลังใหม่ของธุรกรรมบนเครือข่ายดิจิทัล | khundee

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.