ในสัปดาห์นี้มีการวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับการวินิจฉัย พระแคระ หรือพระที่เตี๊ยที่สุดในประเทศ ของพระผู้ใหญ่ในจังหวัดจันทบุรีในการมีคำสั่งสึกพระตี๋กลางพรรษา พระตี๋ ชื่อเดิมนายเสริมศักดิ์ ไม้สูงเนิน หรือพระเสริมศักดิ์ ธรรมะสโร อายุ 21 ปี ตามข่าวว่ามาคือ พระตี๋ มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และมีความประสงค์จะบวชทดแทนพระคุณมารดา และได้บวชเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 นี้เองที่วัดทับช้าง อ.สอยดาว จ.จันทบุรี มีพระครูพิศาลธรรมนุศาสน์ เจ้าอาวาสวัดทับช้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ฉายาว่า “ธมฺมสโร” หลังจากบวชแล้วไปจำพรรษาที่วัดผาสุก ตำบลทับช้าง เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2559 ได้มีคำสั่งจากพระผู้ใหญ่ใน จ.จันทบุรี ให้สึกพระตี๋กะทันหัน และเป็นการสึกกลางพรรษา ในเวลาต่อมา พระคล้าย เทวะธรรมโม เจ้าอาวาสวัดผาสุก ได้ชี้แจงเรื่องสึกพระตี๋ต่อชาวบ้านว่า เป็นคำสั่งของพระเลขาของเจ้าอาวาสวัดทับช้าง อ.สอยดาว ที่มองว่าพระตี๋เป็นบุคคลพิการ เป็นภาระของพระสงฆ์รูปอื่น ซึ่งเจ้าอาวาส ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ ก็จำใจให้สึกไป
พระตี๋หรือนายเสริมศักดิ์ เป็นคนที่มีรูปร่างเตี๊ยผิดปกติจากคนโดยเฉลียทั่วไป คือมีส่วนสูงเพียง 99 เซนติเมตรเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นคนพิการเช่นไร ใช้ชีวิตได้ตามปกติของคนตัวเล็กทั่วๆไป ในขณะบวช ตามข่าวชาวบ้านก็บอกว่าสามารถทำศาสนกิจได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป และชาวบ้านก็ยังเลื่อมใสศรัทธาไม่มีใครแสดงอาการรังเกียจเดียจฉันท์
พระวินัยบัญญัติไว้เกี่ยวกับการอุปสมทบของพระและบรรพชาของสามเณร
พระวินัยของพระไทยมีข้อห้ามของบุคคลที่จะบวชเป็นพระ(อุปสมบท) ซึ่งมีทั้งหมด 20 ข้อ และข้อห้ามสำหรับคนที่จะบวชเป็นสามเณร(บรรพชา) หาอ่านเอาได้ในพระไตรปิตก อยู่ในหมวดพระวินัยเล่มที่ 4 มีลิ้งค์ให้ตามนี้ พระวินัยเล่มที่ 4 ว่าด้วยลักษณะที่ไม่ควรให้อุปสมบทและบรรพชา คลิ๊กเลย พระตี๋เข้าข่ายในข้อ 12 ของบุคคลต้องห้ามในการบวชสามเณร (บรรพชา) เขียนไว้ว่า คนเตี้ย (เกินไป) พระผู้ใหญ่คงอาศัยพระธรรมวินัยข้อนี้สั่งสึกพระตี๋ จริงๆแล้วบทบัญญัติพระวินัยเหล่านี้ ทำเพื่อกีดกันหรือป้องกันไม่ให้การบวชพระในพระพุทธศาสนาเป็นที่รองรับบุคคลที่เป็นที่รังเกียจของสังคมทางโลกหรือทางโลกไม่ต้องการแล้ว เมื่อพิจารณาถึงพระตี๋แล้ว พระอุปัชฌาย์ พระครูพิศาล ธรรมนุศาสน์ คงเห็นว่าพระตี๋คงไม่ใช่บุคคลที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว ท่านจึงมีเมตตาบวชให้ตามประสงค์ของพระตี๋ ซึ่งมองต่างออกไปกับพระผู้ใหญ่ซึ่งมองว่าเป็นบุคคลที่ทางโลกไม่ต้องการ ถึงอย่างไรก็ตามการผิดพระวินัยข้อนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสึกในเมื่อบวชมาแล้ว การตีความพระวินัยของพระผู้ใหญ่ในจังหวัดจันทบุรีทำให้เกิดปัญหากับชาวพุทธโดยทั่วไปที่ไม่เห็นด้วย ถึงกับเป็นข่าวใหญ่โตพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

พระแคระที่พระพุทธเจ้าบวชให้ พระลกุณฏกภัททิยะเถระ
ในครั้งสมัยพุทธกาล ภัททิยะชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลมหาเศรษฐีซึ่งอยู่ในกรุงสาวัตถี แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบชายหนุ่มภัททิยะเมื่อเจริญวัยใหญ่ขึ้นมาแต่ร่างกายหาได้เจริญเติบโตตามอายุไม่ เขายังคงมีร่างกายเล็กแคระแกรนเหมือนเด็กสิบขวบ คนทั่วไปจึงเรียว่า “ลกุณฏกะภัททิยะ” ซึ่งแปลว่า ภัททิยะเตี้ย
ครั้งหนึ่งพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร เมื่อชาวเมืองสาวัตถีทราบข่าวก็พากันมาไหว้สักการะ และฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า ซึ่งในหมู่ประชาชนที่มาทั้งหมดนั้น ลกุณฎกภัททิยะ ก็เข้าเฝ้าและฟังเทศนาธรรมด้วย หลังที่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมจบแล้ว ลกุณฏกะภัททิยา ก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก หลังจากที่ชาวบ้านกลับหมดแล้ว ลกุณฏกภัททิยะก็ได้เข้าไปกราบพระพุทธเจ้าเพื่อขอบวช และพระพุทธเจ้าก็ทรงประทานให้ตามประสงค์ หลังจากที่ได้บวชแล้ว พระลกุณฏกะภัททิยะก็ได้ศึกษาธรรมะพร้อมกับเรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระพุทธเจ้า เมื่อสำเร็จแล้ววิชาแล้ว พระกุณฏกภัททิยะ จึงกราบทูลขอปลีกตัวออกไปจากหมู่คณะไปอยู่ในที่อันสงบสงัด เพื่อปฏิบัติความเพียร ไม่นานนักก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นคือพระโสดาบัน
อยู่มาวันหนึ่งพระลกุณฏกภัททิยะเถระ ได้ถูกหญิงแพศยาซึ่งนั่งรถม้ามากลับพราหมณ์หนุ่มผู้หนึ่งนัยว่ากำลังจะไปเที่ยวงานกัน ล้อเลียนร่างกายของท่านแล้วก็หัวเราะด้วยความขบขัน หัวเราะเยาะต่อร่างกายของท่าน หญิงแพศยานั้นเวลาหัวเราะก็ให้ได้เห็นฟันทั้งปากดูน่าเกลียดยิ่งนัก พระลกุณฏกภัททิยะเถระ เห็นดังนั้นท่านก็หาได้โกรธเคืองไม่ ท่านกับใช้ฟันและปากของนางแพศยานั้น เป็นอารมณ์พิจารณาว่าเห็นของปฏิกูล สกปรก น่าเกลียด จนได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี และต่อมาท่านได้ฟังธรรมกถา อันเป็นโอวาทจากพระสารีบุตรเถระ จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ความที่พระลกุณฏกภัททิยะเถระ มีรูปร่างแคระแกร็นคล้ายกับเด็กท่านจึงถูกล้อเลียน และกลั่นแกล้งต่างๆนานา ด้วยความที่คิดว่าท่านเป็นสามเณร วันหนึ่งมีพระภิกษุจากต่างแดนเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า และเดินสวนกันกับพระลกุณฏกะภิททิยะเถระ ซึ่งได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเช่นกันและกำลังเดินทางกลับ เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า:-
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นพระเถระรูปหนึ่งเดินสวนทางไปหรือไม่ ?”
“ไม่เห็น พระเจ้าข้า”
“พวกเธอเห็น มิใช่หรือ ?”
“เห็นแต่สามเณรองค์เล็ก ๆ เดินสวนทางไป พระเจ้าข้า”
“ภิกษุทั้งหลาย นั่นแหละ คือพระเถระ”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ รูปร่างของท่านเล็กเหลือเกิน พระเจ้าข้า”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตไม่เรียกบุคคลว่า “เถระ” เพราะความเป็นคนแก่ มีผม
บนศีรษะหงอก และเพียงสักแต่ว่านั่งบนอาสนะพระเถระเท่านั้นท่านเหล่านั้น ตถาคตเรียกว่า
“พระแก่เปล่า” ส่วนท่านที่มีสัจจะ คือริยสัจ ๔ มีธรรมะ มีความสำรวม รู้จักข่มใจ ไม่เบียด
เบียนผู้อื่น และมีปัญญา ท่านเหล่านี้ ตถาคตเรียกว่า “เถระ”
ผู้เป็นเลิศในทางพูดเสียงไพเราะ
พระลกุณฏกภัททิยะเถระ ด้วยความที่ท่านมีรูปร่างเล็กผิดปกติไม่เหมือนคนทั่วไป ท่านจึงถูกล้อเลียนและกลั่นแกล้ง แต่ท่านก็ไม่รู้สึกหวั่นไหว หรือโกรธเคือง เนื่องด้วยท่านได้เป็นพระอรหันต์ ที่ปราศจากสภาวะของกิเลสแล้ว นอกจากนี้ท่านยังมีความสามารถพิเศษ คือปกติท่านแสดงธรรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนและเจรจาประกอบด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงอันไพเราะ เป็นที่เสนาะโสต
แก่ผู้ฟังทั้งหลาย อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใสด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องท่านให้เป็น เอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้พูดเสียงไพเราะ