แรกเห็นผิดหวังนิดหน่อย คิดว่าโอ้โหนั่งรถมาตั้งไกล มีอะไรให้ดูน้อยกว่าผาแต้มเมืองอุบลฯอีกหรือ แต่สุดท้ายใช้เวลาเป็นชั่วโมงยังดูภาพวาดโบราณของมนุษย์ถ้ำที่พิมเบทกาซึ่งปรากฏอยู่ใน 600 เพิงหิน 500 ร้อยในเขตอุทยานแห่งนี้ไม่จบ

ภาพวาดบนชั้นหินและผนังถ้ำที่นี่น่าจะมีอายุอยู่ตั้งแต่สมัยยุคหินกลาง เรื่อยตลอดมาจนถึงยุคประวัติศาสตร์
พิมเบทกา ตั้งอยู่ในเขตอุทยานวินดายัน ห่างจากโบปาล เมืองหลวงของรัฐมัธยประเทศไปทางใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร (การเดินทางในระยะทางแค่นี้ในอินเดียนั้นเราใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงทีเดียว เพราะถนนแคบ รถเยอะและอุปสรรคบนท้องถนนอื่นๆอีกมากมาย) ภาพวาดบนชั้นหินและผนังถ้ำที่นี่น่าจะมีอายุอยู่ตั้งแต่สมัย Mesolithic เรื่อยตลอดมาจนถึงยุคประวัติศาสตร์ ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพคน สัตว์ แสดงลักษณะของเศรษฐกิจแบบยังชีพในยุคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการเพาะเลี้ยง หากแต่จะทำการล่าสัตว์และเก็บพืชมาเป็นอาหาร นอกนั้นก็เป็นภาพการแสดง (หรือเชื่อว่าเป็นการแสดง) สีที่ใช้มี 2 สี คือแดงและขาว ซึ่งน่าจะทำจากยางไม้และปูนขาว ถามไกด์ที่พาชมว่า ความแตกต่างของสีที่ใช้บ่งบอกความหมายอะไรทางสังคมวัฒนธรรมหรือเปล่า เขาตอบว่าไม่น่าจะบอกอะไรมากไปกว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าหาอะไรได้ก็เอามาวาดมาแต้มกันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามภาพวาดตามแผ่นหินและผนังถ้ำเหล่านี้จะแตกต่างกันไปหลายรูปหลายแบบ ซึ่งก็สันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณนี้น่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่หลายยุคหลายสมัย หลายชั่วคน ติดต่อกัน บุคลิกของภาพวาดเหล่านี้จะสะท้อนยุคสมัย กล่าวคือ ถ้าเป็นยุค Paleolithic หรือก่อนหน้านั้นภาพตัวสัตว์ออกจะใหญ่สักหน่อยสีที่ใช้มักเป็นสีเขียวหรือแดงเข้ม ถ้าเป็น Mesolithic จะเป็นภาพตัวสัตว์เล็กลงมาหน่อย อยู่กันเป็นกลุ่ม และจะมีลวดลายประดับตามตัวด้วย ในยุคนี้ก็จะมีภาพกิจกรรมต่างๆก่อนข้างมาก เช่น การใช้อาวุธ การเต้นรำ เครื่องดนตรีหรือถ้าเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็จะมีภาพที่มีลักษณะเป็นกลุ่มๆ มีการประดับตกแต่งมากขึ้น สีที่ใช้จะเป็นสีแดง สีขาว และสีเหลือง กิจกรรมที่วาดในยุคนี้จะเห็นว่ามีลักษณะทางศาสนาและพิธีกรรมอยู่ด้วย


แต่ละจุดแต่ละถ้ำอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แต่ด้วยความที่มีเยอะและซับซ้อน (แต่รับประกันได้ว่าไม่หลงเพราะที่ทางเดินและป่าก็เป็นป่าโปร่ง แทบไม่มีสัตว์อะไรให้เห็นแม้แต่นกและกระรอก) แนะนำให้แต่งกายทะมัดทะแมงหน่อย เตรียมน้ำดื่มไปให้พร้อม หมวกหรือร่ม พร้อมแว่นกันแดดด้วยก็ดี (ถ้าหากไปฤดูร้อนประมาณเดือนมิถุนายนอากาศค่อนข้างร้อน) เพราะอุทยานแห่งนี้ออกจะแห้งแล้งซักหน่อย และไม่มีน้ำหรืออาหารขาย ร้านอาหารจะอยู่ด้านล่างทางขึ้นอุทยานห่างออกไปหลายกิโลพอสมควร ถ้าไปตรงเวลาหรือใกล้อาหารเที่ยงรับประทานไปก่อนก็ดี