อีลอน มัสค์ เขาก็เป็นผู้อพยพแต่ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย
อีลอน มัสค์ กำเนิดในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี 1971 ซึ่งฐานะในวัยเด็กของเขาไม่ใช่จะดีนักในประเทศอัฟริกา และอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างลำบากทำให้เขาไม่ได้รับโอกาสในการศึกษาที่ดีเพียงพอ แต่ อีลอน ก็เหมือนคนที่ประสบความสำเร็จทั่วไปในโลกใบนี้ เขาเป็นคนที่มีนิสัยรักการอ่าน และชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง ดังนั้นโรงเรียนจึงไม่ใช่อุปสรรคและปัญหาสำหรับเขา Kimbal พี่ชายของเขาเล่าว่า อีลอน จะอ่านหนังสือเป็น 10 ชั่วโมงในวันหนึ่ง ซึ่งเขาได้อ่านแค่เฉพาะนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น ตอนเขาอยู่ ป.4 อีลอน เขาก็จมอยู่กับหนัง Encyclopedia Britanica เกือบตลอดเวลา เมื่อเราเทียบมนุษย์เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ตัวฮาร์ดแวร์คือร่างกายกับสมอง ตัวซอฟท์แวร์คือการเรียนรู้ การคิด และลักษณะนิสัยต่างๆ ซึ่งเราจะต้องมีการดาวน์โหลดซอฟท์แวร์ลงในสมองเสียก่อนมนุษย์จึงทำงานได้ ในความคิดของ อีลอน มัสค์ เห็นว่าการเรียนในห้องเรียนรอให้ครูสั่งสอนความรู้ มันเป็นการดาวน์โหลดข้อมูลใส่สมองที่ช้ามากๆ และมันเป็นเรื่องตลกและน่าเบื่อที่จะต้องนั่งรอให้ครูมาโหลดข้อมูลใส่สมอง และอีลอนคิดว่าการออกหาข้อมูลข้างนอกจึงเป็นการดาวน์โหลดที่รวดเร็ว ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนคิดแบบนี้
ตอน อีลอน มัสค์ อายุ 9 ขวบเขาได้คอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่ง ยี่ห้อ Commodore VIC-20 มีหน่วยความจำแค่ 5 กิโลไบท์ และมาพร้อมกับคู่มือที่คนธรรมดาน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการติดตั้ง แต่ อีลอน ในวัย 9 ขวบทำได้ภายใน 3 วัน ตอนเขาอายุ 12 ขวบเขาสร้างวิดีโอเกมขึ้นมาเกมส์หนึ่งชื่อเกม Blastar และขายให้นิตยสารฉบับหนึ่งในราคา 500 เหรียญ ในสมัยนั้นนับว่าไม่เลวเลยที่เดียวสำหรับเด็กอายุ 12
อีลอน มัสค์ เขารู้ว่าไม่มีความผูพันกับประเทศเกิดของเขาเท่าไร และไม่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสังคมแบบแอฟริกันผิวขาว ที่สำคัญคือเขาคิดว่าแอฟริกาใต้ ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และเขามองไปที่ Silicon Valley ว่าน่าจะเป็นที่ที่เขาควรจะไป ในวัย 17 อีลอน มัสค์ ตัดสินใจ หันหลังให้แผ่นดินเกิดแบบถาวร เพื่อมุ่งสู่ความฝัน เขาเริ่มต้นด้วยการอพยพไปอยู่ที่แคนาดา ซึ่งมันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่มีแม่เป็นคนแคนาดา อีก 2-3 ปีต่อมาเขาก็อาศัยช่องทางของมหาวิทยาลัยย้ายเข้าสู่อเมริกาดินแดนแห่งความหวัง ด้วยการย้ายเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

อีลอน มัสค์ เขาคิดอะไรเมื่อเขาเรียนมหาวิทยาลัย
ในมหาวิทยาลัย เขาคิดว่าในชีวิตของเขานี้มีอะไรที่เป็นสิ่งที่เขาต้องการจะทำ ด้วยการเริ่มคิดว่าในอนาคตนี้อะไรจะเป็นสิ่งที่จะมีผลกระทบกับมนุษย์มากที่สุด คำตอบที่เขาได้มาคือ 1) Internet 2) พลังงานที่ยั่งยืน 3) การสำรวจอวกาศ โดยเฉพาะการไปตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นอกโลก 4) เทคโนโลยี AI 5) การตั้งโปรแกรมรหัสพันธุกรรมใหม่ของมนุษย์ สองอย่างหลังเขาไม่ค่อยชอบนัก และ 3 อย่างแรกเขามองว่ามันเป็นเรื่องที่เขาชอบและมีความคิดในทางบวกกับมันแต่ในด้านเกี่ยวกับการสำรวจอวกาศเขาไม่เคยที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องเลย คงเหลือเฉพาะ อินเตอร์เนต และพลังงานยั่งยืนที่เป็นสิ่งที่เขาต้องการจะทำ
อีลอน มัสค์ เขาตัดสินใจที่จะเข้าสู่พลังงานยั่งยืน หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วเขาจึงตัดสินต่อปริญญาเอกเกี่ยวกับ High energy density capacitors ซึ่งมันจะเป็นเทคโนโลยีเพื่อที่จะทำให้แบตเตอรี่สามารถเก็บไฟได้ดีกว่าแบบเก่าๆ ซึ่งแบตเตอรี่ ซึ่งเขามองว่านี่เป็นกุญแจที่จะพัฒนาไปสู่พลังงานยั่งยืน และแน่นอนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าด้วย แต่เขาเข้าเรียนปริญญาเอกได้เพียง 2 วัน

ธุรกิจดอทคอมซิครับจะรออะไร อีลอน มัสค์ กล่าว
อะไรมันจะทานทนความร้อนแรงของธุรกิจดอทคอมในปี 1995 อีลอน ก็เช่นกัน เขาพับแผนปริญญาเอกหลังจากเข้าโครงการได้ 2 วัน เขาทนที่จะยืนดูคนอื่นสำเร็จในธุรกิจอินเตอร์เนตไม่ได้ เขาตัดสินใจดรอปทันทีและกระโจนเข้าสู่ธุรกิจอินเตอร์เนต ก้าวแรกของเขาในการเข้าสู่ธุรกิจดอทคอมคือ ไปสมัครงานกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการอินเตอร์เนตเลย Netscape ด้วยการเดินไปสมัครเลย แต่เมื่อมาถึง อีลอน มัสค์ ก็รู้สึกเก้ๆกังๆ อายที่จะพูดกับคน ไม่รู้จะพูดยังไง สุดท้ายเดินมาเฉยเลย สรุปเขาไม่ได้งาน
อีลอน มัสค์ บอกว่าอย่างนั้นไม่ใช่แนวของเรา จึงชักชวนน้องชาย Kimbal ซึ่งตามเขามาจากแอฟริกาใต้ภายหลัง ก่อตั้งบริษัทดอทคอมขึ้นมาเอง ชื่อ Zip2 ซึ่งบริษัทนี้จะคล้ายกับ Yelp และ Google map รวมกัน ในสมัยนั้นไม่มีอะไรแบบนี้นะ มีแต่สมุดหน้าเหลือง เวลาคุณจะติดต่อซื้อของอะไรซักอย่างต้องค้นสมุดหน้าเหลือง และหาเบอร์โทรที่อยู่ คนรุ่นใหม่อาจนึกภาพไม่ออก นั่นแหละคือสิ่งที่เขาทำคือเอาสมุดหน้าเหลืองขึ้นมาไว้บนอินเตอร์เนต Online Directory ในห้วงเวลานั้นทั้งสองก่อตั้งบริษัทขึ้นมาแบบไม่มีเงินเลย สองพี่น้องอาศัยกินนอนอยู่ที่บริษัท และไปอาบน้ำที่ YMCA (Young Men’s Christian Association) อีลอน จะเป็นคนเขียนโปรแกรมเอง เขาใช้เวลาเป็นวันๆที่หน้าคอมพิวเตอร์ของเขา ในปี 1995 ร้านค้าต่างๆไม่เข้าใจว่าการโฆษณาบนอินเตอร์เนตมีความจำเป็นขนาดไหน ซึ่งมันเป็นการยากที่จะโน้มน้าวให้ร้านค้ามาลงโฆษณาด้วย แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มมีลูกค้าและเติบโตในที่สุด ยุคปี 90 ธุรกิจดอทคอมกำลังบูมมีการซื้อ ขาย ร่วมทุน กันในบริษัทสตาร์ทอัพอย่างมากมาย และบริษัท Compaq ก็มาคว้าเอา Zip2 ด้วยการร่วมลงทุนมูลค่า 307 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา อีลอน มัสค์ เมื่ออายุ 27 เขามีรายได้จากการนี้ 22 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
ผู้ให้กำเนิด Paypal
อีลอน มัสค์ หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จจาก Zip2 แล้วเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเศรษฐีดอทคอมทั่วๆไป คือ ท่องเที่ยว ยิงนก ตกปลา หาความสำราญ ปล่อยให้เงินทำงานต่อไป หรือถ้ายังไม่หมดไฟก็เริ่มสร้างบริษัทใหม่ด้วยเงินลงทุนของคนอื่น แน่นอน อีลอน มัสค์ เขายังหนุ่มอายุแค่ 27 ปี ยังมีไฟที่จะทำหลายๆสิ่งหลายอย่าง และที่สำคัญเขามีเงินทุน เขาต้องการที่จะทำสิ่งใหม่ที่ยากไปกว่าเดิม และเขาไม่เหมือนเศรษฐีดอทคอมทั้งหลาย เขาควักเงินของเขาเองถึง 3 ใน 4 ส่วนของทั้งหมด เพื่อลงทุนในบริษัทใหม่ ไอเดียใหม่ที่ยิ่งใหญ่และท้าทาย เขาจะทำธนาคารออนไลน์ โดยจะทำธุรกรรมหลักๆของธนาคารผ่านระบบอินเตอร์เนต โดยเขาตั้งชื่อว่า X.com
ในตึกเดียวกันนั้น ยังมีอีกเวปไซท์หนึ่งที่ทำเรื่องธนาคารหรือเงินออนไลน์เหมือนกัน Confinity ซึ่งก่อตั้งโดย Peter Thiel และ Max Levchin อีลอน พบว่าหนึ่งในหลายความสามารถของ X.com คือฟังค์ชั่นการให้บริการโอนเงินนั้นเป็นทีนิยมและไปได้ดี และ Confinity ก็มีบริการเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อมีการใช้บริการโอนเงินมากๆเข้าทำให้เกิดรู้สึกว่าต้องมีการแข่งขันกันเอง ดังนั้นทั้งสองบริษัทจึงรวมกันกลายเป็น Paypal ดังที่เราเห็นในปัจจุบัน
เสือสองตัวจะอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
การที่ผู้เก่งในยุทธจักรอินเตอร์เนตมารวมอยู่ด้วย มันทั้งเรื่องของอีโก้ ความคิดเห็นที่ขัดแย้ง การรวมตัวของอีลอน มัสค์ กับ Peter Thiel และ Max Levchin แม้จะทำให้โอกาสทางธุรกิจเติบไปได้ดีก็ตาม และเรื่องภายในบริษัทมันไม่ราบรื่นเอาเสียเลย ความขัดแย้งเริ่มเดือดขึ้นในปี 2000 เรื่องราวเกิดขึ้นช่วงระหว่างที่เขาเดินสายระดมทุนและฮันนีมูนไปด้วยกับจัสตินภรรยาคนแรก กลุ่มฝ่ายตรงกันข้ามเขารวมตัวกันยึดอำนาจยกตำแหน่ง CEO ให้กับ Thiel อย่างไรก็ตาม อีลอน มัสค์ เขาจัดการเรื่องนี้ได้ดีพอควร “เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น” อีลอน ยังคงลงทุนกับบริษัทต่อไป และเขาเองได้มีบทบาทสำคัญในการขายบริษัทให้กับ Ebay ในปี 2002 ด้วยมูลค่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ส่วนตัวเขาในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่รับประมาณ 180 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาหลังจากหักภาษีเรียบร้อย ตอนนั้นเขาอายุ 31 ปี
SpaceX จะพาเราไปตั้งถิ่นฐานที่ดาวอังคาร
ช่วงเวลาก่อนที่เขาจะขาย Paypal ให้ Ebay อีลอน มัสค์ เขาทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีจรวด การส่งจรวดสู่อวกาศ หลังจากเขาขาย Paypal ออกไปแล้วในปี 2002 เขาใช้เงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาจัดตั้งบริษัที่ไม่มีใครในโลกนี้จะนึกไปถึงได้ว่าจะมีคนทำมันจริงๆ มันเป็นบริษัทเกี่ยวกับการสร้างและส่งจรวดออกไปอวกาศชื่อว่า SpaceX โดยมีวัตถุประสงค์ว่าจะทำให้การเดินทางไปในอวกาศในงบประมาณที่น้อยลง และจะทำให้มนุษย์สามารถไปตั้งถิ่นฐานที่ดาวอังคารได้เป็นล้านคนในศตวรรษหน้า
Tesla รถไฟฟ้าที่ทุกคนเอื้อมถึง
ในปี 2004 ทั้งที่ SpaceX ยังไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็ก่อตั้งบริษัทที่คนเขาไม่คิดกันว่าจะประสบความสำเร็จขึ้นมาอีกบริษัทหนึ่ง คือ Tesla ด้วยความหวังว่านี่คือการปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งจะนำไปสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จในเชิงพานิชย์ ซึ่ง อีลอน หวังว่ามันจะนำไปสู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน เขาควักเงินลงทุนเองอีก 70 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
Solar City พลังงานยั่งยืน
ในอีก 2 ปีต่อมาคือปี 2006 อีลอนและพี่น้องทุ่มเงินอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาเพื่อก่อตั้งธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ โดยทำการสร้าง ผลิต และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ในบ้าน โดยหวังว่าจะการติดตั้งนับล้านหลังคาเรื่อนเพื่อลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล และให้เกิดการนำใช้พลังงานแบบยั่งยืนไปอย่างกว้างขวาง
หนทางแห่งความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
หลังจากเขาขาย Paypal แล้วกระโดดเข้าสู่โครงการที่หลุดโลกอย่าง SpaceX โครงการมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด SpaceX สามารถสร้างจรวดได้ และส่งมันขึ้นไปได้ แต่มันไม่ประสบความสำเร็จมันใช้ไม่ได้ จรวด 3 ลำแรกของอีลอน พุ่งขึ้นไปและระเบิดกลางอากาศก่อนที่มันจะออกไปนอกโลกได้ และก็ใช้เงินทุนไปอย่างมหาศาล การไม่ประสบความสำเร็จของ SpaceX ทำให้เงินทุนไม่ไหลเข้าไม่มีใครต้องการลงทุน อีลอน มัสค์ เหลือเงินเพียงแค่จะส่งจรวดลำที่ 4 ออกไปเท่านั้น ถ้าการส่งจรวดลำที่ 4 ไม่ประสบความมสำเร็จ SpaceX คงต้องเสร็จแทน
ในขณะที่ SpaceX อาการร่อแร่และเริ่มขาดเงินทุน ในอีกด้านหนึ่ง Tesla บริษัทสตาร์อัพผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอาการก็หนักไม่แพ้กันจนถึงตอนนี้ 2008 Tesla ยังไม่สามารถส่งมอบรถได้แม้แต่คันเดียว มันดูไม่ดีเลยในสายตาคนข้างนอก มันเป็นการยากที่จะมีการลงทุนในบริษัทที่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น Tesla จึงใช้เงินของอีลอนหมดไปอย่างรวดเร็ว
ฟังๆดูเหมือนว่า อีลอน มัสค์จะเป็นคนโง่และบ้า จริงๆแล้วเขาไม่ได้ทั้งบ้าและโง่ และบริษัทที่เขาตั้งมาหละมันเป็นยังไง บริษัทที่ตั้งมาก็เป็นบริษัทที่ดี เพียงแต่ว่าบริษัทนั้นยังต้องการเวลาที่จะพิสูจน์ตัวเองที่จะทำสิ่งที่ยากให้ประสบผลได้ในเวลาอันเหมาะสม และยิ่งอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยก็ยิ่งยากที่จะหาผู้ร่วมลงทุน อีลอน มัสค์ แม้ว่าจะรวยจากการขาย Paypal แต่ก็ไม่รวยพอที่จะรักษาสภาพของทั้งสองบริษัทไว้ได้ ถ้าไม่มีเงินร่วมทุนโดยเร็วทั้ง Tesla และ SpaceX คงจะยุติลงในเร็ววัน
เมื่อฝนซาฟ้าก็ใส
เดือนกันยายนปี 2008 SpaceX ยิงจรวดลำที่ 4 นี่เป็นการเสี่ยงครั้งสุดท้ายแล้ว โชคหรือฝีมือก็ไม่รู้ จรวดลำที่ 4 ประสบความสำเร็จด้วยดี นั่นเพียงพอที่จะทำให้ NASA เซ็นสัญญาในการยิงจรวดอีก 12 ครั้ง SpaceX รับ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกานั่นเพียงพอที่จะทำให้ SpaceX หมดปัญหาเรื่องเงินทุน
มาก็มาตามกันช่วงคริสต์มาสอีฟ ปี 2008 เขาต้องควักเงินลงทุนเพื่อยืดลมหายใจของ Tesla ออกไปอีก ต่อจากนั้นอีก 5 เดือนกิจการของ Tesla เริ่มกระเตื้องขึ้นและมีเงินจากเดมเลอร์เข้ามาลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา Tesla ยังคงอยู่ต่อไปได้อีก
ความสำเร็จ
หลังจาก SpaceX ยิงจรวดสำเร็จในครั้งแรกแล้วก็มีการยิงจรวดเรื่อยๆจน 20 กว่าครั้งแล้ว และนาซ่าก็เป็นลูกค้าประจำ ซึ่งความสำเร็จของ SpaceX ทำให้เขาเป็นอกชนรายเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ส่งของต่างๆขึ้นสู่อวกาศด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ จนถึงทุกวันนี้มีเพียง สหรัฐ รัสเซีย จีน และ SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวที่สามารถส่งยานอวกาศไปนอกโลกและกลับมาสู่โลกได้ และ SpaceX ยังมุ่งมั่นสร้างและทดสอบยานอวกาศที่จะพามนุษย์ไปยังอวกาศ และจะทำให้ใหญ่ขนาดที่นำมนุษย์ 100 คนไปดาวอังคารได้ในครั้งเดียว และในปัจจุบันมี Googel และ Fidelity มาร่วมลงทุนด้วย ปัจจุบัน SpaceX มีมูลค่าสูงถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
” อีลอน มัสค์ พาเยี่ยมชมฐานปล่อยจรวด “
Tesla model S ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ได้คะแนนจาก Consumer Report 99 จาก 100 คะแนน และยังได้คะแนนเรื่องความปลอดภัยสูงสุดเป็นประวัติการณ์จาก National Highway Safety Administration ปัจจุบันได้ออก Tesla Model 3 มาเพื่อให้ทุกคนมีสิทธิ์จับจองรถไฟฟ้าด้วยราคาที่ไม่แพง ปัจจุบัน Tesla ได้สร้างโรงงานผลิต Gigafactory แห่งที่สองขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลิตแบตเตอร์รี่ ลิเที่ยม ไอออน ใหญ่ที่สุดในโลก และมูลค่าของบริษัท Tesla สูงกว่าฟอร์ดไปแล้วในปี 2017
“รถยนต์ไร้คนขับของ Tesla “
Solar City กลายเป็นบริษัทที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และระบบไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา และมีโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาด้วย มีการร่วมมือกับ Tesla ในการผลิตแบตเตอร์รี่เพื่อสำหรับเก็บไฟไว้ใช้ในบ้านเรียก Powerwall
คิดสร้างสรรค์อย่างไม่จบสิ้น
อีลอน มัสค์ ยังคงคิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาอีกเรื่อยๆ เขาใช้เวลาผลักดันและพัฒนาเทคโนโลยีการขนส่งยุคใหม่คือ Hyperloop ซึ่งเราจะได้เห็นกันในอนาคตอันใกล้ว่ามันจะออกมาให้บริการอย่างไร และยังไม่หยุดแค่นี้เขายังความคิดล้ำหน้าไปอีกคือการเชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์ ในปี 2017 เขาจัดตั้งบริษัท Neuralink ชายผู้นี้เขาไม่เคยหยุดนิ่งจริงๆ