AI ย่อมาจาก Artificial Intelligence แปลเป็นไทยว่า “ปัญญาประดิษฐ์” AI ปัญญาประดิษฐ์ คือการสร้างความฉลาดให้กับสิ่งไม่มีชีวิต เพื่อให้สามารถคิด ทำงาน และเรียนรู้ได้เอง โดยมีจุดประสงค์หลักก็ทำเพื่อให้มันสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ในช่วงเริ่มแรกมักจะนำมาใช้ในงานที่ต้องทำซ้ำๆ หรือเป็นงานที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตได้ แต่ในโลกแห่งจินตนาการของมนุษย์ยังคงไม่ได้หยุดอยู่แค่จินตนาการในโลกแห่งภาพยนต์และนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น ยังคงมีความพยายามว่าจะทำให้เกิดขึ้นมาจริงๆให้ได้ และก็พยามยามนั้นก็เป็นผลจริงๆ แม้ตอนนี้จะได้เพียงแค่เริ่มต้น
AI ปัญญาประดิษฐ์ และมันไม่ใช่หุ่นยนต์
เราอาจจะคุ้นเคยและรู้จักกับเทคโนโลยี AI จากภาพยนต์และนิยายวิทยาศาสตร์เป็นหลักและไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริงมาได้ ภาพยนต์ที่มีจินตนาการเรื่องแรกๆที่โด่งดังน่าจะเป็น สตาร์วอร์ ต่อมาก็ คนเหล็ก และก็มีเรื่อง A.I. Artificial Intelligence ชื่อไทยว่า A.I. จักรกลอัจฉริยะ เอาชื่อนี้เลย ซึ่งทั้งหมดล้วนจินตการถึงหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรกล แต่ AI ไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่เป็นสมองของหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร ซึ่งมันก็คือ Software หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรนั่นเอง ตัวหุ่นยนต์เป็นเพียงแค่โครงร่างเท่านั้น ยกตัวอย่าง AI ที่ไม่มีรูปลักษณ์เป็นหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร เช่น SIRI ในไอโพนมันสามารถพูดจาสนทนา ตอบคำถาม ส่งจดหมาย ค้นหาข้อมูลได้ ที่เราเห็นและใช้ประจำอีกอย่างหนึ่งคือ Search Engine ของ Google ก็ไม่มีลักษณะใดๆใกล้เคียงหุ่นยนต์เลย

AI ในระดับของสติปัญญาต่างๆ
มีการแบ่งหรือจำแนก AI ออกมาเป็นหลายๆแบบ ตามคุณลักษณะต่างๆของมัน แต่การแบ่ง AI ตามระดับความสามารถและสติปัญญาดูจะเข้าใจง่ายและใช้กันแพร่หลาย ซึ่งมีการจำแนกออกเป็น 3 ระดับดังนี้
- Artificial Narrow Intelligence (ANI) หรืออาจจะเรียกว่า Weak AI ซึ่งเป็น AI “ปัญญาประดิษฐ์” ซึ่งมีระดับระดับสติปัญญาที่มีความสามารถในการทำงานได้ในเรื่องแคบๆอยู่ในวงจำกัด เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นในปี 1997 IBM สร้างคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถเอาชนะแชมป์หมากรุกได้ ในยุคปัจจุบัน Google สามารถสร้างรถยนต์ไร้คนขับได้ SIRI ของแอปเปิ้ลสามารถสื่อสารพูดคุยกับคนได้ นั่นก็สามารถทำได้เพียงแต่แค่นั้น มันยังคงไม่มีความสามารถ และมีสติปัญญาคิดไปทำอย่างอื่นในขอบเขตที่กว้างไกลใกล้เคียงมนุษย์ได้
- Artificial General Intelligence (AGI) อาจเรียกว่า Strong AI ซึ่งเป็นสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ เป็น AI ปัญญาประดิษฐ์ ที่ความสามารถในการทำงานได้เทียบเท่ากับสมองมนุษย์ ในปัจจุบันเรายังไม่สามารถสร้าง AGI ได้ แต่ศาสตราจารย์ Linda Gottfredson ได้อธิบายว่า AGI ปัญญาประดิษฐ์ในระดับนี้เป็นความสามารถทั่วไปเกี่ยวกับจิตใจความนึกคิดมากกว่าอย่างอื่น โดยจะเกี่ยวข้องกับ ความสามารถในการเรียนรู้ วางแผน การแก้ปัญหา รู้จักคิดในเชิงนามธรรม มีความคิดที่สลับซับซ้อน เรียนรู้ได้เร็ว เรียนรู้จากประสบการณ์ โดยปัญญาประดิษฐ์ในระดับ AGI จะสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเหมือนกับที่มนุษย์ทำได้
- Artificial Superintelligence (ASI) เราอาจเรียก ASI ซุปเปอร์ปัญญาประดิษฐ์ มีปัญญาเหนือมนุษย์ Nick Bostrom จากออกฟอร์ดซึ่งเป็นนักปรัชญาและผู้นำด้านความคิดด้าน AI ให้คำจำกัดความของ ASI ว่ามันจะฉลาดและมีปัญญามากกว่าสมองมนุษย์ที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน รวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์ในทางวิทยาศาสตร์ เรื่องทั่วๆไป แม้กระทั่งความสามารถในการเข้าสังคม

เราใช้เทคโนโลยี AI อยู่บ้างไหมในชีวิตประจำวัน
ในโลกปัจจุบันราคงอยู่ในยุคของ ANI คือปัญญาประดิษฐ์ ในระดับต่ำคือระดับเบื้องต้นยังเพียงแค่ทำงานได้เฉพาะส่วนๆไป เป็นบางเรื่องบางราวที่เก่งเท่าหริอฉลาดเท่ากับมนุษย์ และเราก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆหลายเรื่องหลายราวที่แวดล้อมเราอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือสิ่งที่อยู่ระหว่างการทดลอง ล้วนแต่บ่งชี้ให้เราเห็นถึงทิศทางของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ จะยกตัวอย่างเพียงไม่กี่ตัวอย่างที่เราพบอยู่เป็นประจำ เช่น
- Facebook แทบจะทุกคนตื่นเช้ามาก่อนทำอื่นใดต้องดูฟีดข่าวของเฟสบุ๊ค เราเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงส่งเรื่องราวของคนโน้นคนนี้ให้เรา และแนะนำเพื่อนที่เราควรจะรู้จักให้เรา ส่งโฆษณาที่เราควรจะสนใจให้เรา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถของ ANI และมาร์ค ซัคเคอร์เบอร์ค ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ค ยังได้สร้าง AI ควบคุมการทำงานในบ้านส่วนตัวของเขา เหมือนกับ JARVIS ของ โทนี่ สตาร์ค ในภาพยนต์ IRON MAN โครงการนี้ของมาร์ค ชื่อ Javis เช่นกัน โดย Javis มีความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆในบ้าน เช่น ควบคุมอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าต่างๆ ในบ้าน คอยเตือนว่ามีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นในห้องของ MAX ลูกชายของมาร์ค และยังสามารถเชิญแขกของมาร์คเข้ามาในบ้าน และเตือนมาร์คว่ามีแขกมาหา ทั้งหมดนี้ควบคุมด้วยเสียง โดย Javis จะใช้เสียงของ Morgan Freeman แทนตัวเอง ต่อไปคุณอาจจะเห็น Javis มาเล่นเฟสบุ๊คก็ได้
- Search Engine กูเกิ้ล คิดอะไรไม่ออกถามอากู๋ กูเกิ้ลนับว่ามีความสำคัญเกือบจะเทียบเท่าปัจจัยที่ 4 เลยทีเดียว ท่านลองนึกดูนะถ้าเราไม่มีกูเกิ้ลเราจะทำงานยากแค่ไหน เอาง่ายๆสมมุตินะ เราต้องการหาโรงพยาบาลสักแห่งที่อยู่แถวๆรามคำแหง ถ้าไม่มีกูเกิ้ลเราจะถามใคร แล้วใช้เวลาเท่าไรกว่าเราจะรู้ว่ามีโรงพยาบาลอะไรบ้าง กูเกิ้ลรู้ได้อย่างไรว่าจะนำเสนอหน้าเพจไหนให้เรา และเพจไหนควรจะอยู่ลำดับไหนของการค้นหาในแต่ละคีย์เวิร์ด และการนำส่งโฆษณาของกูเกิ้ลอีก กูเกิ้ลรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังสนใจสินค้าตัวนั้น ล้วนแต่เป็นการเรียนรู้ของสมองกลของกูเกิ้ล ในปี 2009 กูเกิ้ลยังสร้างรถไร้คนขับ ชื่อ Waymo และรถไร้คนขับทดสอบวิ่งไปแล้ว 2 ล้านไมล์ในทุกสภาพจราจร ไม่ใช่แค่กูเกิ้ลเท่านั้น Tesla ผู้ผลิตรถไฟฟ้าก็ได้ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับของตัวเองในสภาพถนนต่างๆล่าสุดนำมาทดสอบในการจราจรคับคั่งแล้ว
- SIRI ของ Apple ใครที่ใช้โทรศัพท์ยอดนิยมไอโฟนของ Apple ย่อมต้องคุ้นเคยกับ SIRI ใครไม่เคยใช้อุปกรณ์ใดๆของแอปเปิ้ลอาจจะงง SIRI คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คอยช่วยเหลือและทำตามคำสั่งเรา โดยเราจะออกคำสั่งโดยเสียง แล้ว SIRI จะพยายามค้นหาหรือแปลความหมายว่าเราต้องการอะไร หรือให้ทำอะไร ซึ่งโปรแกรมนี้ถูกฝังมาในระบบปฏิบัติการในอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล เช่น โทรศัพท์ นาฬิกา ทีวีบ๊อก เป็นต้น
- Email Spam Filter โปรแกรมจะเรียนรู้และรู้ได้อย่างไร Email ตัวไหนเป็นสแปมและตัวไหนไม่ใช่สแปม
ทั้งหมดที่ยกมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่เราใช้และพบเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งยังมีอีกหลายๆอย่างและมากมายที่ใช้เทคโนโลยีนี้ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งหลายๆบริษัทใช้เทคโนโลยี AI เป็นเครื่องมือในการซื้อขาย หรืออย่างการควบคุมการบิน การใช้ auto pilot ของนักบินล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งหมดก็ยังอยู่ในระดับ ANI เพียงแค่นั้น ณ ปัจจุบัน

เสี่ยงไหมในการที่ทำวิจัยและพัฒนา AI เทคโนโลยี
- ในเวลาปัจจุบันไปจนถึงอนาคตอันใกล้ๆนี้ AI เทคโนโลยี หรือปัญญาประดิษฐ์นี้แม้จะยังอยู่ในระดับแค่ ANI แต่ก็มีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางมากขึ้นในหลากหลายวงการ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค ความมั่นคงปลอดภัย ปัจจุบันอันตรายหรือความเสี่ยงจาก AI ที่เราพบเห็นจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ซึ่งก็แค่เป็นการกวนใจ เช่น ความพิวเตอร์ทำงานผิดพลาดหรือถูกแฮก หรืออาจจะโดนไวรัส ซึ่งไม่ส่งผลกระทบมากในวงกว้างและไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเกิดความผิดพลาดในระบบที่สำคัญๆ เช่น ความผิดพลาดของรถยนต์ไร้คนขับที่ทำงานผิดพลาด แน่นอนอาจอันตรายถึงชีวิต หรือความผิดพลาดของของระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า น้ำปะปา แก๊สหรือน้ำมัน ความผิดพลาดของการควบคุมการบิน หรือความผิดพลาดของโปรแกรมการลงทุนอัตโนมัติ ซึ่งความผิดพลาดระดับนี้จะส่งผลเสียอย่างมาก ไม่ว่าจากทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หนักข้อขึ้นไปอีกความผิดพลาดทางด้านทหารและความมั่นคง ซึ่งนักวิจัยยังคงต้องค้นหาแนวทางการป้องกันเหตุไม่ให้เกิดความเสียต่อการนำ AI มาใช้ ความเสียจะใหญ่หลวงมากขึ้นไปอีก ถ้ามีการแข่งขันกันพัฒนาด้านอาวุธแบบอัตโนมัติ ถ้าเราไม่สามารถควบคุม AI ได้ อาจทำให้เกิดสงครามเป็นวงกว้างได้เลยทีเดียว นักวิจัยและพัฒนาต้องหาหนทางป้องกันอันตรายที่จะเกิดสิ่งนี้ขึ้นมา
- ในอนาคตที่ไกลออกไปอีก เมื่อ AI เทคโนโลโลยี หรือปัญญาประดิษฐ์ถูกพัฒนาจนถึงจุดที่เรียกว่า AGI หรือมีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ก็จะสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมาเองได้ และพัฒนาขึ้นเองได้ ซึ่งอาจทำให้มนุษย์อย่างเราถูกทิ้งให้ล้าหลัง และสุดท้ายจะสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็น ASI หรือซุปเปอร์ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ และมีคนเกรงว่าถ้าเราไม่วางแนวทางให้ดีในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI สิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น
มีคนหลายๆคนคิดว่าเทคโนโลยี AI จะมีโอกาสพัฒนาไปได้ถึงระดับ AGI คือมีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ และก็มีหลายคนบอกว่าการพัฒนาให้ AI มีสติปัญญาเหนือมนุษย์เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่ามนุษย์จะยังคงพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีสติปัญญาในระดับขั้นสูงไปเรื่อยๆ และมนุษย์จะต้องหาทางพัฒนาให้เทคโนโลยีนี้ให้ใช้ได้อย่างปลอดภัยและเป็นประโยชน์แก่มนุษย์เอง เราเชื่อเช่นนั้น

ผู้เชี่ยวชาญในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแสดงความกังวลต่อการวิจัย AI
Bill Gate, Stephen Hawking, Elon Musk, Steve Wozniak และคนมีชื่อเสียงอีกมากมาย ขณะนี้นับได้ประมาณ 8,000 คน ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกเพื่อส่งสารแสดงความกังวลเกี่ยวกับการวิจัยเทคโนโลโลยี AI ซึ่งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญในการวิจัย ช่วงเวลา ทิศทาง และเป้าหมาย กำหนดกฎเกณฑ์ว่า AI ควรจะมีขอบเขตว่า AI ควรทำอะไรได้และอะไรที่เราต้องการให้ AI ทำ ซึ่งจะเป็นการวิจัยและประดิษฐ์สิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมของเรา ในอนาคตข้างหน้าเมื่อเราสร้าง AI ขึ้นมาให้มันฉลาดกว่าสมองมนุษย์ได้แล้วเราจะสามารถควบคุมและใช้งานได้อย่างเต็มประโยชน์เพื่อมนุษยชาติอย่างปลอดภัย ไม่แน่นะเมื่อเราสร้าง ASI ได้แล้วโรคที่เราเคยรักษาไม่หายอาจจะรักษาได้ อะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับสมองมนุษย์ ASI อาจทำขึ้นมาได้และนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์
Pingback: การพัฒนาอาวุธ AI และหุ่นยนต์สังหาร วิวัฒนาการที่หลายคนไม่ต้องการ | khundee
อยากให้มันพัทนา เร็ว และเต็มที่กว่านี้ คนจะได้ตกงานกันเร็วๆ เห็นแล้ว สะใจ ความชิปหายมาเต็ม
เรียกร้องกันเพื่ออะไรครับ ส่วนมาก องค์กรเขาทำเพื่อตัวเขาเองครับ เขาไม่สนหรอก ครับ กูจะสร้าง กูจะวิจัย หรือไม่มันก็ เรื่องของกู ชีวิตกู
กูแลาด อะไรประมานนั้น